mercredi 25 novembre 2015

Somport Kangkorn BIO

ย้อนรอย จาก สมโภชน์ กางกรณ์ YON-REOY 
mercredi 25 novembre 2015

Somport Kangkorn BIO



คมเคียว-คันไถ 
คำนำ

ฉันเขียนย้อนรอย อดีตขึ้นมานี้ก็เพื่อเป็นการทบทวนชีวิต ความผิดพลาดต่างๆที่ผ่านมา เพื่อเป็นอุธาหรณ์ สวนตนเองเพราะอดีตย่อมเชื่อมโยงถึงอนาคตของเราได้ มีท่านผู้รู้สอนไว้ว่า อตีตเป็นเรื่องที่ผ่านมาแล้วไม่ควรจะนำมายึดโยงกับอนาคต ที่ยังมาไม่ถึงก็ไม่ควรจะนำมากังวล ควรคิดแต่เรื่องปัจจุบันนี้ และทำดีที่สุดในปัจจุบันนี้ก็เพียงพอแล้ว อันนี้ฉันยังมีความเห็นแย้งอยู่ว่าถ้าเราลืมอดีตแล้ว ก็เท่ากับว่าเราลืม เทือกเถาเหล่ากอของเรา ลืมวิถีชีวิตพื้นเพ ประเพณี วัฒธรรมเก่าดั้งเดิม ลืมแม่กระทั้งบิดามารดา ปู่ย่า ตายายของเรา ด้วย ถ้าเราไม่นึกถึงอดีต เราอาไม่สามารถนำความผิดพลาดมาเป็นบทเรียนแก้ปัญหาชีวิตในปัจจุบันให้ก้าวไปข้างหน้าอย่างมีเป้าหมายมีประสิทธิภาพตามสมควร ตามสถานะภาพของตนเองได้ คงจะทำงานไป ทำดีไป ทำมาหากินไปวันแล้ววันเล่า เพียงแต่คิดถึงแค่ปัจจุบันก็เพียงพอแล้ว ค่ำลงก็นอน ตื่นขึ้นก็ทำงาน ไม่ต้องวางแผนชีวิตในอนาคต ไม่ต้องนำความผิดพลาดในอดีตมาปรับใช้ให้ดีขึ้น อันนี้ฉันคิดว่า อดีต ปัจจุบัน และอนาคต ควรจะนำมาเป็นแนวทางดำเนินชีวิตไปพร้อมๆกัน มันคงไม่สามารถแบกออกจากกันได้
ชีวิตของฉันที่เกิดมานั้น เป็นการเริ่มต้นต่อระหว่าง ยุคเก่า สู่ยุคใหม่ซึ่งฉันถือว่าโคคดีที่เกิดมาในยุคนี้ เพราะเราได้เรียนรู้ ทั้งวิถีชีวิต ทั้งเก่าและใหม่ จากภาชนะหุงต้มที่ทำด้วยหม้อดินเปา เครื่องจักรสานทำด้วยได้ไผ่ กลายเป็นเครื่องใช้ พลาสติก หุงต้มด้วยหม้อใช้ไฟฟ้า จากการใช้โคเทียมเกวียนขนผลผลิตจากไร่นา การใช้แรงควายไถ่นาด้วยไถไม้ กลายมาเป็นการขนส่งด้วยรถบรรทุก รถปิคอัพ รถไถนา แทนความ ที่อยู่มากมายเดินตามและนั่งขับ ในเวลาเดียวกับฝูงวัวควายที่ใช้งานไม่เหลือให้เห็นอีกแม้แต่ตัวเดียวในท้องถิ่นหมู่บ้าน การก็บเกี่ยวข้าวโดยใช้คนกับเคียวเกี่ยวข้าวมากันเป็นแรมเดือน เสร็จแล้ว มัดรวมนำมากองที่ลานข้าว เพื่อรอนวดเอาเมล็ดข้าวอีกเป็นเดือน ตอนนี้เขาพัฒนามาเป็นเครื่องเก็บเกี่ยวข้าวแทน แค่วันหรือสองวันก็เสร็จ นวดพร้อมนำเมล็ดข้าวไปสู่โรงสี นับเงินมาเข้ากระเป๋าได้ทันที 
จากสมัยที่บอบน้ำใส่กระป๋อง (คุ หรือ ปี๊บ)จากสระน้ำใหญ่ที่วัด มาใส่โอ่ง ใส่ไห สำหรับไว้ใช้อาบ ให้หุงข้าว ใช้ทุกอย่างในบ้าน เปลี่ยนพัฒนามาเป็นการใช้น้ำประปา สามารถเปิดก๊อกเอาที่บ้านอย่างสบาย โดยไม่ต้องออกแรง สมัยที่เดินทางไกลๆต้องใช้ห้าใช้เกวียน หรือใช้จักรยาน รถไฟที่มีหัวจักรเป็นไอน้ำ มีฟืนหลายกองอยู่ตามสถานีเป็นตับต้องเดินเท้าไปขึ้นตามสถานีไกลๆ เดี๋ยวนี้มีรถมอเตอร์ๆฤด์ รถปิกอัฟ รถเก๋ง รถเมล์ รถไฟฟ้ามุดไต้ดินก็มีแล้ว เครื่องบินที่ฉันชะเง้อมองเป็นบินอยู่บนฟ้า สมัยเป็นเด็กสงสัยว่าเหล็กทำไมถึงลอยอยู่บนฟ้า เดี๋ยวนี้เด็กรุ่นหลังหลายคนต่างก็ขึ้นนั่งเครื่องบินเดินทางไปไปมาประจำเป็นว่าเล่น พัฒนาจนระทั่งสร้างจรวดไปถึงโลกพระจันทร์ พระอังคาร อาวุชต่างๆที่ทำลายล้างฆ่ากันสมัย ดาบ ธนู หน้าไม้ ปืนกาบศิลา ปืนลูกซอง กลายมาเป็นปืนกลมือยิงได้ทีละร้อยๆนัด มีจรวดยิงข้ามทวีปหนึ่งไปยังทวีปหนึ่ง หนีไปซุกอยู่ใต้ดินหรือในถ้ำ จรวดก็ยังตามไปล่าได้
สมัยก่อนเขียนจดหมายหรือโทรเลข ต้องเดินทางไปส่งจดหายตามสถานีรถไฟ เดี๋ยวนี้พัฒนามาเป็นโทรศัพท์มือถือ คุยกันถึงที่บ้านใครบ้านมัน พ่อแม่ลูกมีกันคนละเครื่อง มากไปกว่านั้น เขาเขียนจดหมาย ส่งลายกันทางโทรศัพท์ อินเตอร์เน็ท เห็นภาพใบหน้ากัน ส่งภาพไปให้ดู ในขณะที่ต่างคนต่างนอนอยู่ที่บ้าน ชั่วเวลาที่ฉันเกินมาเจ็ดสิบกว่าปี มันเร็วมากจนฉันตามแทบไม่ทัน การกินอยู่ประจำวันสมัยก่อน พ่อแม่เลี้ยงดูเรามาล้วนแต่วัตถุดิบทีมาจากธรรมชาติ ขุดเอา ทำเอาจนเหงื่อไหลไตรย้อย เหนื่อยแทบใจจะขาด ทำงานกลางแดดกลางฝน กว่าจะได้ของกินหรืออาหารมาป้อนลูกแต่ละคนให้ เจริญเติบโตขึ้นมาเป็นหนุ่มเป็นสาว แต่สมัยนี้เขาใช้ใบแบงก์ที่หามาจากโรงงาน ธนาคาร มาหาของกินที่ตามตลสดหรือ ศูนย์การค้าต่างๆมาเลี้ยงครอบครัว
ค่าของคน อยู่ที่ผลของวาน มิใช่อยู่ที่ผลของเงิน หากว่าเงินนั้นมาจากหยาดเหงื่อของผู้อื่น ย่อมไม่มีค่าเท่ากับมาจากหยาดเหงื่อของตนเอง


สมโภชน์ กางกรณ์
ย้อนรอยอดีต

        เมื่อวัยเด็ก ฉันจำได้ว่า ครอบครัวของฉันเริ่มต้นด้วย จากฉันเอง และน้องอีกสองคน  พ่อกับแม่เอาย่ามาอาศัยอยู่กับพวกเราด้วย น้องคนแรกเป็นหญิง ถัดมาเป็นชาย กำลังนอนแบเบาะ ฉันมาทราบต่อมาภายหลังว่า ก่อนที่ฉันเกิน ฉันมีพี่สาวที่พ่อตั้งชื่อว่า เยื้อน แต่เธอเสียชีวิตแต่เยาว์วัย อายุเพียงขวบกว่าๆเท่านั้น สำหรับคุณย่าของฉันนั้น ท่านนุ่งขาวห่มขาวโกนหัว และทุกๆปีแกจะจากบ้านไปสามเดือนเพื่อไปอยู่สำนักแม่ชี พอออกพรรษา ท่านก็จะกลับมาอยู่บ้านกับพวกเรา เป็นอย่างนี้ตลอดมา

        บ้านฉันตอนนั้น หลังกะทัดรัด เป็นบ้านสองห้อง ยื่นระเบียงออกมาข้างหน้า ยกพื้นบ้านสูง ใต้ถุนบ้านทำเป็นคอกควาย มีควายอยู่ในคอกหนึ่งตัวชื่อว่า เจ้าลอม พื้นบ้านปูกระดาน หลังคงมุงด้วยหญ้าแฝก บ้านทำด้วยฟากไม้ไผ่ จั่วหลังคามุงด้วยสังกะสีแผ่นเรียบ เขียนหน้าจั่วบ้านด้วยปูนกินหมากสีแดงด้วยฝีมือของพ่อว่า สร้างเมื่อ พ.. 2478 คือสร้างมาก่อนที่ฉันเกิดสองปี ในปีถัดไปพ่อก็สร้างเรือนครัวอีกหลังหนึ่ง ซอยขวางทางตะวันตก ต่อจากส่วนที่เป็นระเบียงหลังเดิม บ้านหลังนี้ ทำเป็นเรือนครัวไฟ มีเตาไฟแบบโบราณทำเป็นก้อนเส้าสามก้อน สองเตาตั้งไว้บนฐานสี่เหลี่ยม ในขอแผ่นกระดานไม้กั้น ขนดินขึ้นมาใส่ไว้สำหรับกันไฟ ข้างฝาเรือน ครัว ข้างบนทำเป็นหิ้งสำหรับวางเครื่องครัว เช่นหม้อดิน ถ้วยชาม ของใช้ต่างๆ บนหิ้งปูด้วยฟากไม้ไผ่ สูงแค่อกแม่ มีตะกร้า กระบุง หม้อดินขนาดต่างๆวางคว่ำไว้เป็นแถว เรือนครัวหลังนี้ มุงหลังคาด้วยหญ้าแฝกเหมือนกับฝาเรือน ก็ยังคงใช้ไม้ไผ่สับฟาก แต่กระดานพื้นปูด้วยไม้มะค่าแผ่นใหญ่ ขนาดนอนบนกระดานแผ่นเดียวได้ เสาเรือนครัวเป็นไม้รังทุบเปลือก ไม่ต้องถากเลย ใต้ถุนเรือนครัว ทำเป็นเล้าเป็ดเล้าไก่ซึ่งมีอยู่ 20 - 30 ตัว หน้าเรือนครัวมีระเบียงเล็กๆ ยื่นออกมาติดชนกับชานเรือน ทางด้านทิศตะวันออก เชื่อมติดกับบ้านที่อยู่ด้านทิศใต้ นอกชานปูกระดาน ปล่อยโล่งไว้ใช้สำหรับตากเสื้อผ้า ที่นอน สิ่งของต่างๆ ในตอนกลางวัน สำหรับกินข้าวตอนเช้า ตอนเย็น แม่ของฉันจะนำเอาสำรับกับข้าวมานั่งล้อมวงกินข้าวกันที่นอกชาน ยกเว้นวันฝนตก
        นอกชาน (ระเบียง) มีโอ่งน้ำสีแดงดินเผาเพียงสองโอ่ง ลูกหนึ่งสำหรับรองน้ำฝนดื่ม และลูกที่สองสำหรับใช้ทำครัว ถัดไปด้านเหนือของชานเรือน มีชานเล็กๆ ลดต่ำลงมา มีโอ่
เล็กๆ อีกสองโอ่งสำหรับไว้อาบน้ำ สำหรับเด็กๆ โอ่งเล็กสองลูกนี้มี ลูกหนึ่งปากเบี้ยว แม่ซื้อมาจากพ่อค้าเรือขายอ่างขายหม้อดินที่หน้าวัด ลูกนี้มันมีตำหนิขายถูก เป็นของแถมให้แม่ ซื้อแล้วเขาก็แบกมาส่งถึงบ้าน และต่อมาตอนฉันมีครอบครัวออกเรือน แม่ก็ให้ฉันต่อ ในขณะนี้ โอ่งลูกนี้เป็นมรดกของแม่และ ฉันเก็บอนุรักษ์ไว้อย่างดี อายุของมันมากกว่า เจ็ดสิบปีขึ้นไป
        ด้านเหนือของปลายชาน(ระเบียง)เล็ก ยกร้านขึ้นทำเป็นคอกหมูพันธุ์แม้ว แม่เลี้ยงหมูไว้ครั้งละสองตัวอยู่เสมอ หมูพันธุ์นี้แม่บอกว่าเลี้ยงง่าย เพียงแค่เก็บผักบุ้งตามคันนาเวลากลับจากนา เข้าบ้านแล้วก็หั่นฝักบุ้งผสมน้ำข้าว น้ำปลา ผสมรำนิดหน่อยกับเศษอาหารที่เหลือและ น้ำล้างจาน ก็เลี้ยงมันได้แล้ว เราจะไม่ต้องทิ้ง น้ำข้าวน้ำล้างปลา ยามจนมาก็ไปชวนพวกชาวบ้านมารวมขากัน ชำแหละบ่างขาย แก้จนแก้ขาดสน ในระยะที่ไม่มีเงินใช้
        ด้านตะวันออกของชาน(ระเบียง)เล็ก จะมีบัดใดพาดขึ้น หัวบันใดโผล่ขึ้นแค่เอว มีเพิงมุงหัวบันใดด้วยหญ้าแฝก มีไว้เพื่อกันแดดฝน บันใดมีเจ็ดขั้น ทำด้วย แผ่นกระดานหนาหกนิ้ว ทำอย่างแน่นเหนียวแข็งแรงเพื่อความทนทาน บันใดนี้ฉันตกหลายครั้ง แต่คุณแม่ตัวผอมๆ หาบน้ำขึ้นบ้านใส่ตุ่มได้อย่างสบาย
        คุณพ่อเป็นชายฉกรรจ์ แข็งแรง ลักษณะของผู้นำ เป็นคนที่มีไหวพริบดี แก้ไขสถานการทันเหตุการณ์ เป็นที่ทันคน พูดเสียงดัง ฉันรู้สึกอบอุ่นทุกครั้งที่อยู่ใกล้พ่อ ท่านไม่เคยด่าเคยตีฉันเลย ซึ่งตกกันข้ามกับคุณแม่ท่านเคยหวดฉันด้วยไม้เรียว กิ่งมะขาม เวลาหนีน้องไปเล่นน้ำกับเพื่อนฝูง ฉันเคยวิ่งหนีแม่ แต่ แม่ก็ไล่ตามตีฉันจนได้ แต่ฉันรู้ว่า แม่รักฉันมาที่สุด เพราะเป็นลูกชายคนหัวปี
        ที่นอกชาน(ระเบียง) ยามเย็นฉันจะนอนแหงนดูบนฟ้า ดูนกเป็นฝูงบินผ่านอยู่เสมอ มีทั้งฝูงอีแร้ง นกอินทรีย์ ที่บินวนไปเวียนมาหลายๆ ตัวเพื่อร่าเหยื่อ เหมือนว่ามันกำลังร่ายรำ เห็นนกกระยางขาวบินกลับจากหากิน เป็นฝูงยาวเหยียด นกแขกเต้าสีเขียว นกเขาไฟสีแดง จำนวนมากมาย บินผ่านข้ามหมู่บ้านของพวกเรา บินไปเช้าเย็นกลับ มีให้เห็นแทบทุกวัน ตอนเช้าก็จะพากันบินไปหาอาหารกินทางทิศตะวันออก จะกลับมานอนรังด้านทิศตะวันตกอยู่เสมอๆ
        พอพลบค่ำเริ่มขะมุกขะมอมมัว ก็จะมองเห็นฝูงค้างคาวฝูงใหญ่ทมึนทึน บินออกจากถ้ำภูเขาสนามแจง ดูมหึมามืดฟ้ามัวดินออกมาอีก เป็นรอบที่สอง ซึ่งก่อนจะมืดลง เป็นอย่างนี้เสมอ พ่อเคยบอกว่านกค้างคาวออกหากินกลางคืน มันต่างกันกับพวกนกทั่วไปที่หากินในเวลากลางวัน ถึงว่ามันจะเป็นสัตว์ปีกเหมือนกัน แต่การดำเนินชีวิตต่างกันมาก ค้างคาวเป็นสัตว์ที่เลี้ยงลูกด้วยน้ำนม หากินกลางคืน มันกินผลไม้ และแมลง สำหรับพวกนกบินกลางวัน กินแมลง พืช ข้าว และ ผลไม้ บางชนิดก็กินสัตว์  ลูกนกจะออกมาจากไข่ มันจะต้องทำรังไว้สำหรับฟักไข่ นกหลายชนิดที่ออกหากินกันเป็นฝูง แบบเดียวกับพวกค้างคาว มันจะมีหัวหน้าฝูงที่นำพาออกไปหากินตามทางที่หัวหน้าพาไป ถ้าตัวใดแหกฝูง ก็จะถูกทอดทิ้งให้บินหลงทางอยู่โดดเดี่ยวเดียวดายอยู่บนท้องฟ้าอันเวิ้งว้าง ไปตามลำพัง...
        พอหมดเวลาดูนกแล้ว แม่ก็ยกสำรับกับข้าวลงมานั่งล้อมวงกินข้าวกันที่นอกชาน(ระเบียง) พวกเรา พ่อ แม่ ลูกๆ และ คุณย่าก็กินข้าวตอนเย็นพร้อมๆกัน แม่ตักข้าวจากหม้อดินแจกให้ทุกคน ทัพพีของแม่ทำด้วยกะลามะพร้าว ด้ามมันงอนทำด้วยไม้ น้องคนเล็กก็นอนในตักแม่ แม่กินข้าวด้วยอุ้มน้องด้วย ตักข้าวตักแกงใส่ชาม(จาน) กินด้วยและบริการพวกเราไปด้วย เป็นอย่างนี้ตลอดมา
        พออิ่มจากการกินอาหารเย็นแล้ว พ่อก็จะใช้ให้ฉันนำเอาหมอนมาให้ แล้วก็นอนเล่านิทานให้ฉันฟัง บางคืนเดือนหงาย พระจันทร์เต็มดวง พ่อก็จะเล่านิทานเรื่อง ตาก่องก๋อยหลังโกงตำข้าวอยู่บนดวงจันทร์ ในนิทานที่พ่อเล่าว่าบนดวงจันทร์มีแต่ทองคำทั้งนั้น สัตตรูของดวงจันทร์ คือ พระพาหู มีครึ่งตัว คอยตระครุบดวงจันทร์กินอยู่เสมอ เขาเรียงว่า กบกินเดือน มันจึงทำให้ฉันคิดว่า พระราหูนี้ คงจะมีรูปร่างเหมือนกบที่มีครึ่งตัว ตัวใหญ่มากจนกินเดือนได้ อ้าปากกินเดือนเข้าไปแล้ว ทะลุออกช่องท้องทุกที เพราะมีแค่ครึ่งตัว พ่อเล่านิทานได้สักหน่อย ก็นอนหลับเสียงกรน ค๊อกๆ จนแม่ต้องมาปลุกให้ไปนอนในบ้าน
        เมื่อฉันมีอายุได้ หกขวบ ก็เกิดสงคราม อังกฤษ  พวกญี่ปุ่นมาทิ้งระเบิดที่สะพานดำ สะพานข้ามทรงรถไฟบ้านหมี่ พ่อพาพวกเราและครอบครัวร่วมทั้งญาติพี่น้องใกล้เคียง หนีระเบิดไปหลบอยู่ที่ก้นสระปลายนา เป็นสระของป้าไพ สระลูกนี้ลึกแต่แคบ หน้าแล้งไม่มีน้ำ ก้นสระจุคนได้ สิบกว่าคน มีต้นไผ่กอใหญ่หนาทึบ บนคันคูสระนี้ ยังมีต้นมะขามและต้นก้ามปูปกคลุม บังก้นสระไว้ คนขับเครื่องบินมองไม่เห็น มันเป็นทำแลที่ดีสำหรับหลบภัย เครื่องบินผ่านหัวพวกเราหลายลำ พ่อบอกพวกเราว่า ถ้าทิ้งระเบิดลงมารอบบริเวณสระนี้พวกเราจะปลอดภัย ถ้าบังเอิญหล่นลงมากลางสระพอดี พวกเราก็จะตายกันหมด คุณป้าไพเจ้าของสระแกนำถุงสีแดงขอดรัดปากถุงไว้แน่น พร้อมกับไม้หลาวเล็กๆ สำหรับหาบผักบุ้งมานั่งหลบภัยอยู่กับพวกเรา ถุงแดงของแกนั้นมาทราบภายหลังว่า เป็นถุงเงินถุงทองมี สร้อยทอง เข็มขัดนาค กำไลทอง มีน้ำหนักหลายบาท คิดดูเถอะแกไม่ยอมทิ้งสมบัติไว้ที่บ้านเลย
        เสียง ระเบิดดังบึ้มๆ...หลายครั้งติดต่อกันที่ทางรถไฟ วันต่อมาก็ทราบจากผู้ใหญ่บ้านว่า พวกญี่ปุ่นมาทิ้งระเบิดที่สะพานดำทางรถไฟ เพื่อตัดเส้นทางการขนส่งสายเหนือ และตอนบินกลับพวกเขาได้ทิ้งเอาถังเหล็กใบใหญ่ยาวประมาณห้าศอกลงมาข้างป่าช้า เหนือหมู่บ้านมะขามเฒ่าของเรา ถึงมีลักษณะเหมือน หัวปลีกล้วย ตอนแรกๆไม่มีใครกล้าเข้าไปใกล้ ต่อมาอีก สองสามวัน ชาวบ้านก็ชวนกันเข้าไปดู ปรากฏว่า เป็นถังน้ำมันเชื้อเพลิงของเครื่องบิน เป็นถังเปล่ายังมีคราบน้ำมันอยู่ที่มันทิ้งลงมา ต่อมาถังใบนี้ถูกนำมาถอดเอาน๊อตออกและแบ่งออกเป็นสองซีก มันกลายเป็นเรือเล็กๆได้สองลำนั่งได้ลำละสองคนหัวท้าย พระภิกษุ และ สามารถนำมาลงเก็บดอกบัวที่สระวัดไว้ใช้ในงานทำบุญประเพณีต่างๆได้อย่างดี
        ในยามสงคราม น้ำมันก๊าด มันหายากมาก ชาวบ้านต้องนำไต้มาจุดแทนตะเกียง บางครอบครัวก็ใช้ตะเกียงน้ำมันมะพร้าว บางคืนกำลังล้อมวงกินข้าวเย็นกันอยู่ จู่ๆก็มีเสียงเครื่องบินผ่านมา พ่อก็รีบเอากระบุงครอบไต้ไว้ กลัวเครื่องบินข้าศึกเห็นแสงไฟ ต่างก็รีบลนลานลงไปอยู่ใต้ถุนเรือน บางคนก็ลงหลุมหลบภัยที่สร้างเตรียมไว้สำหรับครอบครัว เป็นอย่างนี้ตลอดระยะเวลาสงคราม
        เสียงข่าวกระจายไปทั่วหมู่บ้านว่า พระครูอ่ำ เจ้าอาวาสวัดซื้อวิทยุกระจายเสียงแบบใช้ถ่ายไฟเป็น ล้ง ฉันก็รีบวิ่งไปดูกับพวกเด็กๆ และผู้ใหญ่หลายคน ฉันเห็นเป็นตู้ไม้เล็กๆ มีผ้าตาข่ายลวดกลมติดไว้หน้าตู้ มีเสียงคนพูด อยู่ข้างใน พวกชาวบ้านหลอกเด็กๆว่า มีคนเล็กๆอยู่ข้างในตู้วิทยุนั้น ฉันแทบจะเชื่อ แต่กลับมาถามพ่อที่บ้าน ท่านบอกว่ามันเป็นเสียงของคนที่ถ่ายทอดออกมาตามอากาศเท่านั้น มันมาได้อย่างไรพ่อก็อธิบายไม่ได้เหมือนกัน ทั้งหมู่บ้านของเรามีของพระครูอ่ำเครื่องเดียว ฉะนั้นตอนกลางคืนก็จะมีคุณพ่อของฉัน ตาบุญเหลือ น้าพ่อคาวีลุงแว่น น้าทิดทิม ออกไปฟังวิทยุที่วัดกับชาวบ้านคุ้มบ้านในและ คุ้มบ้านทุ่งใหญ่ ฟังข่าวสงคราม ญี่ปุ่น เยอรมัน สัมพันธมิตร ข่าวหลวงพิบูล สงคราม นายกรัฐมนตรี นายปรีดี พนมยงค์ หัวหน้าเสรีไทย ข่าวจากสหประชาชาติ จบข่าวแล้วต่างก็พากัน แยกย้ายกลับบ้าน ในระยะนี้ ฉันก็ต้องอดฟังนิทานที่พ่อเคยเล่าให้ฟังเป็นประจำทุกๆคืนก่อนที่จะเกิดสงคราม
        นิทานของพ่อ ท่านเคยเล่าเรื่อง ทรพาชนกับทรพี พาลีรบกันกับทรพีในถ้ำ หนุมานเผากรุงลงกา พระรามเดินดง ทศกัณฐ์ลักนางสีดา พระลักษณ์ถูกหอกกุมภัณฑ์ บางคืนท่านก็หาหนังสือใบลาน เป็นตัวอักษร พวน อักษรขอมมาอ่าน เช่นเรื่อง ศิลป์ชัย สุริวงค์ การะเกต จำปาสี่ต้น ซึ่งคุณย่าปรั่ง และคุณแม่ชอบฟัง มาก เป็นคำกลอนลำพวน ซึ่งฉันก็ซึมซับและติดตามฟังเป็นประจำ
        ในช่วงนั้น มีญาติพี่น้องฝ่ายพ่อมาอาศัยอยู่ที่บ้านเราสองครอบครัว พ่อแม่ให้มาปลูกกระต๊อบอยู่บนที่ดินหลังเรือนครัวทางตะวันตกของบ้าน มีครอบครัว ของป้าเพ็ญศรีพี่สาวคนที่สองของพ่อ เป็นพี่แท้ๆ คือพ่อแม่เดียวกัน และครอบครัวของ คั้วเติม น้องสาวต่างพ่อของคุณพ่อมาอยู่พร้อมกัน ลูกสาวของป้าเพ็ญศรี ทั้งสองคนชื่อว่า พี่เพ็ญศรี และพี่สำรี เคยมาเรียน ป3 4 ที่โรงเรียนบ้านเราด้วย ลุง แพงสี เป็นพี่เขยของคุณพ่อ สักหลังลายเต็มตัวเหมือนนักเลง กินเหล้าเมาแล้วอาละวาดอวดฤทธิ์อวดเดช ท้าทายคนมายิงมาฟันหรือมาแทง ว่าหนังแกจะทนทานมากแค่ไหน แต่ไม่มีใครถือสาด้วย แกก็มาหาเรื่องด่าลูกด่าเมียอยู่เป็นประจำ บ่อยครั้งที่เห็นคุณพ่อรำคาญโมโหกำหมัดกัดฟันอยู่บ่อยๆ แต่พอเห็นพี่สาวเอาอกเอาใจสามี แล้ว พ่อก็อดใจไว้ ได้แต่ทำนาเคืองๆ แล้วก็ปล่อยเลยตามเลยแล้วแต่เวรกรรม เลยไม่ไปเกี่ยวข้อง ปล่อยให้ แกอาละวาดจนเหนื่อยหายเมาแล้วแกก็หลับไปเอง เรื่องก็จบสิ้นไปเป็นวันๆ
        ส่วนคั้วเติมก็มีปัญหาอีกแบบคือ ผัวของแกเป็นคนชอบกินชอบนอน ไม่ชอบทำงาน ลูกก็มีหลายๆคน พ่อให้แกทำนานายเชื้อสองกระทง คือกระทงต้นแจ้งกับต้นมะเกลือหาเช่าควายให้แกไถนา 1 ตัว แกมาอยู่ตอนนั้นประมาณ 2 ปี นายเฉลิม กับ ฉลวย ลูกชายและลูกสาวของท่านก็เคยมาเรียนหนังสืออยู่โรงเรียนบ้านเรา ส่วนลูกอีกสองคนยังเล็กเกินไปที่จะไปเรียนได้ สามีของคั้วเติม ชื่อว่า ตาน้อย แกเป็นคนรูปร่างอ้วนเตี้ย ดัดผมหัวเกียน พุงใหญ่ กินจุ ผิวแกขาวเหลือง เป็นลูกของคนมีฐานะดีที่ตลาดชุมแสง แต่เป็นคนขี้เกียจไม่ชอบทำงาน ชอบผลาญสมบัติ คงถูกพ่อแม่ตัดหางปล่อยวัดกระมัง ถึงได้พาลูกเมียมาอาศัยอยู่กับพี่ชายของเมีย แกเก่งในทางนำลูกนกเอี้ยงดำ นกจิ้งโค
มาฝึกให้พูด ขอกล้วยคนกิน ในวันหนึ่งฉันได้ยินพ่อบ่นให้คุณย่าปรังฟังว่า ตาน้อยคนนี้มีนิสัยเห็นแก่กิน ให้ยืม วัวและ   เกวียนไปรับจ้างบรรทุกข้าวไปขายที่โรงสีหนองทรายขาว ตอนนั้นพ่อเป็นนายหน้า ซื้อข้าวให้โรงสี พอได้เงินค่าจ้าง จากขนข้าวแล้ว แกกำนำเงินค่าข้างมาซื้อขนุนลูกใหญ่ที่ตลาดหนองทรายขาว ใส่เกวียนมา นึกว่าจะนำมาฝากลูกเมีย กลับผ่าขนุนกินบนเกวียนมาเรื่อยๆจนหมด พอหมดแล้วก็ทิ้งเปลือกขนุนทิ้งกลางทาง ลูกเมียที่บ้านรวม ห้าชีวิต นั่งคอยอยู่บ้าน โดยไม่รู้ว่าตัวพ่อนั้นกินอิ่มท้องป่องอยู่คนเดียว พ่อยังบอกกับย่าปรังอีกว่าลูกเขยคนนี้ใช้ไม่ได้เลย เขามาอยู่รอบนั้นสองสามปี ก็ย้ายออกไป แต่ก็ย้อนกลับมาของอาศัยอยู่ใหม่ ตอนนี้มาต่อเพิงอยู่ข้างยุ้งข้าวใกล้ บ้านป้าเสมอ มารับจ้างดำนา เกี่ยวข้าวมาอยู่ไม่นานต่อมาก็มี อาวเต็ม กับคั้วตอง ก็มาอยู่อีกคนละปี สองปี คั้วตองเจอะเนื้อคู่เป็นคนแซ่จีน อาชีพเลี้ยงหมู ที่หมู่บ้านหลุมข้าวเลยย้ายตามสามีไป ส่วนอาวเต็มนั้นได้แต่งงานกับแม่หม้ายลูกติด 1 คนที่ บ้านสระเตย ท่านแต่งงานแล้วก็ย้ายไปอยู่กับภรรยา เพื่อสร้างครอบครัวของเขาต่อไป
        บริเวณที่บ้านมีแค่สองงานเท่านั้น แต่มีผู้มาขออาศัยปลูกบ้านอยู่หลายคราว หลายๆคนที่ไม่ใช่ญาติพี่น้องเราก็ยังมี เช่น ครอบครัวของคนจีน ชื่อว่า เจ็ก เหล่าลี้ อพยพมาจาก เมืองจีน มาขอปลูกบ้านเลี้ยงหมูอยู่หลังบ้านเป็นเวลา 2 ถึง 3 ปี แม่เคยเล่าให้ฟังว่า ตอนฉันเป็นเด็กตัวเล็กๆ เกิดเป็นไข้ชักตาค้าง ตัวร้อน วันนั้นฝนกำลังตกลมพัดแรง แม่เรียกตาเหล่าลี้ให้ไปตามหมอมา คือตาเสนาะ พ่อก็ไม่อยู่บ้าน ทำนา อยู่นาโคกคามและกินอยู่และนอนเฝ้านา แม่เรียกขอความช่วยเหลือเท่าไร ตาเหล่าลี้ก็ไม่ได้ยิน เพราะลมพัดแรง แม่กลัวฉันตาย จึงตะโกนสุดเสียง ว่า...ไอ้เหล่าลี้ ๆ มาซีลูกกูจะตายแล้ว.... เท่านั้นแหละ ตาเหล่าลี้ได้ยินก็วิ่งมาหา ...อาเย็น...อาเย็น..เป็นไร-อาเย็น เมื่อรู้เรื่องแล้ว แกก็รีบวิ่งไปตามหมอมารักษาไข้ฉัน ตาเสนาะก็มาฝนยาเอามาแซ่น้ำดอกพิกุลมาให้ฉันกิน แม่บอกว่าฉันก็เป็นหนี้บุญคุณตาเหล่าลี้มากเหมือนกัน ยิ่งไปกว่านั้น แกได้ปลูกฝรั่งพันธ์ดีของจีนไว้ให้พวกฉันเก็บกินอีก สามต้น เป็นฝรั่งลูกโตเนื้อหนา เมล็ดน้อย รสหวานกรอบ เป็นอนุสรณ์ไว้หลังจากแกถูกไล่พวกต่างด้าวกลับไป ต่อจากนั้นพวกเราไม่เคยพบหน้า เจ๊กเหล่าลี้อีกเลย เหลือแต่ต้นฝรั่ง สามต้นไว้เป็น อนุสรณ์ ของแก เสียตาย ที่พ่อตัดมันทิ้ง เพราะต้องการที่ตรงนั้นสร้างยุงข้าวในเวลาต่อมา
        พอสงครามเลิก ฉันก็เข้าเรียนหนังสือ ป.เตรียม จำได้ว่ามีกระดานชนวนกับดินสอหิน เป็นแท่ง สีขาวหม่นๆ บางแท่งก็สีดำมีกระดาษลายสีต่างๆหุ้มไว้ข้างบน เขียน ก.ไก่ ข.ไข่ ส่งครูๆตรวจแล้ว ก็ลบด้วยน้ำขวดเล็กๆที่นำไปจาก บ้าน บางคนก็ใช้เปลือกส้มโอตัดเป็นชิ้นมนๆวงกลม ซุบน้ำไว้สำหรับลบกระดานชนวน พอเลื่อนขั้นชั้นหนึ่ง ก็มีสมุดปกสีขาว หน้าปกเป็นรูปเครื่องบิน เป็นรูปภาพขาวดำ ดินสอดำก็มีตัว B สองบี หรือ  BBBB ฉันมีไม้บรรทัดที่ทำด้วยไผ่ พ่อทำให้ พอปีต่อมาท่านก็ซื้อไม้บรรทัด สีเหลืองอ่อนมีนิ้ว มี เซ็น สำหรับวัด มีตัวเลขเป็นอาระบิค โต๊ะเรียนหนังสือก็มีที่นั่งกับที่เขียนหนังสือ เชื่อมติดต่อดินกันก็เป็นความคิดของผู้ปกครองชาวบ้านธรรมดา บ้านนอกของพวกเรา เพราะในสมัยนั้น โรงเรียนในชนบท ยังขาดการส่งเสริมเอาใจใส่ของรัฐบาล โต๊ะนั่งเรียนหนังสือ พ่อแม่ต้องหาให้ลูกเอง
        ส่วนการเรียนการสอนนั้นก็จะมีเลข บวก ลบ คูณ หาร อ่านเอาเรื่อง ความรู้เรื่องเมืองไทย หน้าที่พลเมือง ประวัติสาสตร์ ชาติไทย วิทยาการและอ่านเขียนไทย คัดไทย ท่องสูตรคูณ ท่องมาตราต่างๆ วรรณคดี ก็คือ เรื่อง สังข์ทอง ซึ่งสมัยนั้นตอนช่วงบ่าย ก่อนเลิกโรงเรียนจะมีการท่องสูตร คูณ และมาตราต่างๆ จนติดปาก โดยเพราะเรื่องสังข์ทอง ฉันท่องได้จบเล่ม หนังสืออีกเล่มหนึ่งที่ฉันชอบมากคือ เรื่องนกกางเขน ครูใหญ่สมัยฉันนั้นเป็นครูนักธุรกิจ มีนโยบายให้เด็กรุ่นพี่ สอนเด็กรุ่นน้อง ก่อน โรงเรียนจะเลิก เรียกว่า ต่อหนังสือ ส่วนตัวของครูใหญ่มาเซ็นชื่อลงประจำวันแล้วก็กลับไปทำงานสีข้าวที่โรงสีข้าวขนาดเล็กที่บ้านของแก บางที่แกก็ใช้ภารโรงที่โรงเรียนไปช่วยสีข้าว แกเอาทุกๆอย่างเช่นเอาสมุดดินสอขนมมาขายให้เด็กที่โรงเรียน ยิ่งไปกว่านั้น เป็ดไก่ที่แกเลี้ยง ขายไข่นำไข่มาต้ม แล้วให้ลูกชาย เอาไข่ใส่ตะกร้ามาขายให้พระเณรในยามวิกาลอีกด้วย
        นานๆ ครูใหญ่จะมาสอนเด็ก วิชาคณิตสาสตร์ บวก ลบ คูณ หาร เมื่อครูประจำชั้นไม่อยู่  บางครั้งครูใหญ่บวกเลขผิด เด็กทักท้วง สีหน้าของครูใหญ่จะเปลี่ยนเป็นเคร่งขรึม มีอำนาจมาก จึงทำให้พวกเราไม่ค่อยกล้าจะเอ่ยปากพูด บ้างครั้งพวกเราเล่นหยอกล้อกันอยู่ พอเห็นครูใหญ่เดินขึ้นบันไดมาเท่านั้น เสียงจ๊อกแจ๊ก จอแจจะเงียบงันสงัดไป แทบไม่ได้ยินแม้แต่ลมหายใจ เด็กทุกคนจะเกรงกลัว หรืออาจจะกลัวเกรงในรูปลักษณะของท่านไปเองก็ได้ แต่ครูใหญ่ท่านนี้สมัยนั้นท่านก็ชอบกินเหล้าเหมือนกัน ก็เพราะพ่อเอาเหล้าเลี้ยง แล้วก็ฝากให้ฉันเข้าเรียนหนังสือก่อนเกณฑ์ เพียงอายุ เจ็ดขวบ ก็ให้เข้าเรียน ป1 ร่วมกับพวกรุ่น อายุแปด และเก้าขวบ พออายุได้ 10 ขวบ ฉันก็จบ ป4 แล้ว การเรียนของฉันก็อยู่ในเกณฑ์ ดีพอสมควร ในสมัยนั้น เขาวัดการศึกษาเด็กโดยวิธี ลำดับ คะแนน ได้ที่ 1-2 เช่น เด็กในชั้นเรียนมีอยู่ 22 คน ฉันก็สอบได้ที่เลขตัวเดียว คือ ที่ 7 - 9 ตลอดมาจนจบ ประถมศึกษาปีที่4
        พอจบชั้น ป 4 ตอนนั้นครอบครัวเรามีบุตรเพิ่มอีก 2 คน คือ ไพยนต์ กับ
สุรพล รวมเป็นทั้งหมด 5 คน พ่อขายบ้านหลังเดิมให้น้ำทิม (น้องชายของแม่) แล้วซื้อบ้านใหม่ โดยหักเงินค่าหนี้ของคนบ้านโคกคม ชื่อว่าตากา ที่ยืมเงินคุณพ่อไปโดยพ่อเพิ่มเงินอีกบ้างเล็กน้อย เป็นบ้านทรงไทย ธรรมดาหลังคงมุงด้วยสังกะสี มีฝาเป็นกระดาน มีช่องลมเล็กๆ อยู่หัวห้อง แต่พ่อมาตัดแปลงซื้อหน้าต่างมาใส่แทน ฉันไม่เคย อยู่บ้านมุงด้วยสังกะสี เวลาฝนตกมันจะมีเสียงดังซ่าๆ ถึงแม้ว่ามันจะหนวกหู แต่น้ำฝนที่รองใส่ตุ่มจากหลงคาสังกะสีจะใสสะอาด แตกต่างจากหลังคงมุงด้วยหญ้าแฝก หญ้าคา มาก เพราะมันไม่มีกลิ่นหญ้าเลย ในระยะเวลาต่อมาพ่อก็ถ่ายสังกะสีใส่เรือนครัวอีก ซึ่งตอนนี้ ฉันภูมิใจมากที่ได้อยู่บ้านที่มีฝาเป็นกระดาน มีหน้าต่าง และมุงสังกะสีด้วย

        พ่อจะให้ฉันไปเรียนต่อ ม 1 ที่โรงเรียนปานขาว แต่แม่ไม่อยากให้ไปเพราะความเป็นห่วง ถึงแม้ว่าพ่อบอกว่าจะเอาไปฝากอาจารย์วัด ชื่อว่าอาจารย์ แสน เป็นคนบ้านกลับ จะให้ไปอยู่เป็นเด็กวัด ที่วัดเชียงงา อาจารย์ว่าให้มาอยู่วัดก็ได้ แต่จะฝากเข้าโรงเรียนนั้นไม่ได้ เพราะเด็กฝากเต็มแล้ว ต้องให้ไปสอบเข้าเอาเอง ผลที่สุดฉันไปสมัครสอบเข้า แต่ฉ้นสอบไม่ติดจึงเข้าเรียนโรงเรียนฝานขาวไม่ได้... แต่ลูกคุณครูใหญ่ของบ้านเราสอบเข้าได้ทั้งๆที่เรียนตกภาษาไทย อ่านหนังสือไม่ค่อยออก ทำเลข บวก ลบ คูณ หาร ก็ผิดอยู่บ่อยๆ ถึงกับครูใหญ่ผู้เป็นพ่อนำลูกชายมาประจานที่หน้าชั้นเรียนให้รุ่นน้อง ป 3 จับหัวลูกชายโขกกระดานดำ บังคับให้ลูกชายไปก้มลงกราบเด็กรุ่นน้องซึ่งเป็นเด็กหญิงที่ชื่อว่า ฉลาด ในชั่วโมงการเรียนภาษาไทยต่อหน้าเด็กๆในชั้นเรียนของเด็กรุ่นน้องอย่างน่าอับอาย... แต่ถึงอย่างไรมันก็เป็นเด็กฝากของครูใหญ่เขา มันถึงมีที่เรียนที่นั่นได้ ส่วนฉันในเมื่อสอบเข้าเรียนที่โรงเรียนปานขาวไม่ได้ พ่อจึงนำไปเรียนที่ โรงเรียนวัดหลุมข้าว ที่สอน ม1 ถึง ม3 โรงเรียนชื่อว่า ไตรมิตรวิทยา มีเด็กอยู่แค่ 13 คน มีเด็ก ม1 อยู่ เก้าคน ที่เหลือเป็น ม 2 และ ม3 ครูใหญ่ชื่อ นาย ณรงค์ มณฑล เป็นคนเกิดที่บ้านหลุมข้าว จบ มัธยมศึกตอนปลาย (8) มาจาก โรงเรียนเตรียมอุดมศึกษา คนที่สองชื่อ มหาเปรื่อง ท่านเรียนทางธรรมมา สึกออกมามีวุฒิเปรียญ 4 เป็นครูสอน ศีลธรรม คนที่ 3 ชื่อว่า ครูระพี สอนอยู่ครึ่งปีแล้วท่านก็หายไป มีครูคนใหม่มารับจ้างสอนแทน ชื่อครู นันทน์ เป็นคนไทยมาเป็นลูกเขยชาวบ้านหลุมข้าวนั่นเอง ในปีนั้นพอสอบ ม1 เสร็จ โรงเรียนก็เลิกล้มกิจการไป เพราะครูใหญ่ป่วยเป็น วัณโรค ฉันสอบได้วุฒิ ม1มา พ่อจะให้ไปเรียนต่อ ม2 ที่ โรงเรียนสุเทพ ที่บ้านกล้วย แต่แม่ไม่ยอมให้ไป อ้างว่าต้องการให้ลูกบวชเป็นสามเณร ซึ่งในสมัยนั้นเชื่อกันว่าลูกชายหัวปีบวชให้แม่ จะพาแม่ขึ้นสวรรค์ได้ในเมื่อตายไปแล้ว ถ้าบวชอุปสมบทเป็นพระ ก็ยิ่งจะได้บุญมากขึ้น แต่ต้องเป็นคนที่มีความบริสุทธิ์ ยังไม่ได้แต่งงาน ถ้าแต่งงานแล้ว บุญนี้จะต้องตกไปถึงภรรยา เพราะภรรยาเป็นผู้ยินยอมให้บวช แม่จะได้รับอานิสงค์น้อยกว่า นั่นเป็นความเชื่อมาตั้งแต่โบราณของชาวพวนในหมู่บ้านเรา แม่จึงต้องการขอส่วนบุญจากลูกชายคนหัวปีอย่างที่ท่านปรารถนาเอาไว้ ซึ่งพ่อก็ตามใจแม่ แล้วก็บอกว่าเอาลูกเรียนต่อทางธรรมก็ได้เหมือนกัน ฉันจึงได้บวชเป็นสามเณร สมใจของแม่
        ในสมัยนั้น การบวชนาค เขาทำกันอย่างเอิกเกริก เป็นงานบุญที่ใหญ่มาก เจ้าภาพงานบวชจะนำวัวหรือหมู มาฆ่าเพื่อทำอาหารเลี้ยงญาติพี่น้องและมิตรสหายที่มาช่วยงาน ทั้ง ลาบทั้งแกง มีทั้งเหล้าเถื่อน และเหล้าแม่โขง มาเลี้ยงดูแขกตามฐานะของตนเอง ปีนั้นมีลูกชายคนเดียวของผู้ใหญ่บ้าน ผู้มีฐานะดี และลูกของผู้มีฐานะหลายคน เป็นเจ้าภาพจ้างช้างมาแห่นาค สองเชือก แห่พาลูกชายของตนเอง ไปยังหมู่บ้านใกล้เคียง เพื่ออวดบุญบารมีและความรวยมากน้อยแค่ไหน ปีนั้นแห่ไปหมู่บ้านสระเตย ส่วนนาคคนอื่นๆ หากครอบครัวมีเงินน้อยหน่อย ก็ขี่หลังม้าที่ต่างก็ประดับประดา ผ้าแพรพรรณ สีสดใส สวยงาม อร่ามเรืองทั้งม้าทั้งนาค อย่างสวยงามมาก ม้าเหล่านั้นผูกกระดึงรอบคอ คนควบคุมม้าจะประคองนาค เขย่าไปเขย่ามาดึงม้า เขยับให้ม้าเต้นสามขา ไปตามจังหวะเสียงกองแตร ส่วนนาคที่นั่งบนหลังม้าถือซวยขันธ์ห้า นั่งพนมมือไปตลอดทาง เมื่อถึงหมู่บ้านในเป้าหมายแล้ว ต่างก็จะไปรวมตัวที่วัด ให้นาค นำธูปเทียนไปไหว้เคารพสถานที เช่นประประธานในอุโบสถ และมากราบคารวะอาจารย์วัดตามธรรมเนียม และแห่วนกลับคืนมาบ้านเพื่อตั้งกองบวชที่บ้านของตนเอง หรือที่วัดต่อไป
        ถึงกลางคืนก็มีมโหรสพฉลอง เช่นมี ลิเกที่มีชื่อเสียงดังมาเล่น มี ภาพยนตร์ มาฉายตลอดคืน กองบวชฉันจะจัดไว้ที่บ้าน แต่คุณพ่อไม่ยอมน้อยหน้าใคร ท่านนำเอาช้างและกลองแตร มาแห่เอากองบวชไปตั้งที่วัดตั้งแต่เช้า นับว่าเป็นครั้งแรกในชีวิตที่ฉันได้นั่งบนหลังช้างทีเดียว
        เมื่อบวชสามเณรใหม่ๆ ฉันเริ่มท่องหนังสือ เจ็ดตำนาน พระท่านกำหนดให้ท่องจำที่สำคัญๆที่จะใช้ในงานมงคลต่างๆเช่น งานศพ และการสวดมนต์เช้า-เย็น ต่อจากนั้นก็ให้ เรียน นักธรรมตรี ในตอนแรกๆ ฉันก็เก่งไม่แพ้ใคร พอตกถึงปลายปี มาติต หนังสือ นิตยสาร เพลินจิต แต่งโดย ป. อินทร์ปาลิต มีเรื่อง พลนิกร กิมหงวน เสือใบ เสือดำ เสือฝ้าย เสือมเหศวร หน้ากากดำ นิยายรัก เรื่องม่านรัก รักระทม สาวใช้ อาลัยรัก จำพราก ชอบมากจริงๆ ไม่มีก็หายืมมาอ่าน ตกตอนเย็น สวดมนต์ เย็นแล้ว ก็นอนเอาหูแนบฟัง นิยาย วิทยุที่พระครูอ่ำเปิดฟังจากข้างล่าง มี คณะ สุทินเทวะผลิน คณะเจตนานาฏ ลิเกคณะ หอมหวน ละครสั้น ภูมี ดนตรีเอก
        ผลงานของฉันก็คือ สอบ นักธรรมตรีตก ทำให้คุณพ่อผิดหวังมากในตัวของฉันอีก ฉันมาเล่าผลสอบธรรมที่สนามหลวงให้แม่ฟัง รู้ศึกน้อยใจในตนเองที่ชะล่าใจมานั่งร้องให้ให้แม่เห็นอยู่ที่บ้าน แม่ก็ปลอบใจฉันว่า ไม่เป็นไรหรอกลูก สอบตกก็สอบใหม่อีกได้ อายุยังน้อยอยู่ สำหรับพ่อนั้น ท่านคงผิดหวังมาก เพราะเคยคุยว่าฉันเรียนดี พระอาจารย์สอนธรรมมะ ก็ชมว่าฉันเรียนดี เหนือกว่าพระเณรหลายๆองค์ พอทราบว่าสอบตก ดูเหมือนว่าพ่อจะหมดสัทธาในตัวฉันไปมาก ถึงกับพูดออกมาว่า ทีแรกก็ว่าเรียนดี ปลายปีดันมาสอบตก คงอยากจะมาเรียนไถนาละมั่ง  ฉันรู้สึกว่าผิดที่ทำให้พ่อผิดหวัง เพราะท่านตั้งความหวัง ไว้กับฉันมาก คุณพ่อเป็นผู้มีประสบการณ์ ฉลาด หลักแหลม มีไหวพริบ ทันคน ท่านมักทำสิ่งที่ตรงข้ามกับชาวบ้าน เช่นสมัยนั้นพวกชาวบ้านทีมีลูกชาย เมื่อเลี้ยงมาเติบโตขึ้น จบ ป4 แล้ว ก็ให้มาช่วยพ่อแม่ไถนา ส่วนลูกผู้หญิงก็จะให้มาช่วยแม่ทำครัว แต่งห่อข้าวไปนา ถอนกล้า ดำนา เกี่ยวข้าว เป็นแรงงานที่ได้มาฟรีแบบช่วยกันทำมาหากินในครอบครัว และช่วยฝึกงานอาชีพในไร่นาให้ลูกๆ เพื่อนำไปทำมาหากิน เพื่อสร้างครอบครัวของตนเองในอนาคต มันเป็นวีถีชึวิต ของคนในชนบทสมัยนั้น แต่คุณพ่อนั้น ท่านบอกว่าลูกชายจะต้องเรียนหนังสือ เพื่อนำความรู้ไปรับราชการ เพื่อทำงานในร่ม หรือไปเป็นเจ้าคนนายคน คนคิดอย่างพ่อมีน้อยคนนักในสมัยนั้น นอกจากลูกผู้ใหญ่บ้าน ลูกกำนัน ลูกครูอาจารย์เท่านั้น ที่คิดเหมือนพ่อ สำหรับลูกผู้หญิงนั้น ท่านเหล่านั้นคิดว่าไม่สมควรจะให้เรียน เพราะเป็นหญิง ไกลหูไกลตาพ่อแม่ จึงไม่นิยมส่งลูกสาวไปเรียนต่อเหมือนผู้ชาย มันเป็นความเชื่อสืบต่อกันมา       
        ฉันเรียนต่อ นักธรรมตรี ซ้ำชั้นอีกปีหนึ่ง คราวนี้ทำตัวใหม่โดยตั้งใจศึกษา จึงสอบได้คะแนนดีในปีต่อมา ถ้าจะเรียนต่อ นักธรรมโท ก็จะต้องไปเรียนต่อที่วัดบ้านกล้วย เณรรุ่นเดียวกันเขาก็ลาสึกกันหมด ฉันก็อยากจะสึกตามเขาบ้าง โลกภายนอกเริ่มสวยงามขึ้น อายุก็ย่างเข้าสิบสี่ปีแล้ว หนุ่มสาววัยรุ่นกำลังเต็มหมู่บ้าน งานบุญ งานประเพณีต่างๆก็มีการเล่นอย่างสนุกสนาน ทั้งในหมู่บ้านเราและหมู่บ้านข้างเคียง ฉันขออนุญาตแม่ลาสิกขาบท ซึ่งแม่ก็ไม่ขัดข้อง เพราะฉันโตพอที่จะจับหางไถช่วยพ่อทำนาได้แล้ว อีกอย่างหนึ่งนั้น การจะไปเรียนต่อที่วัดบ้านกล้วยมันก็ลำบากในการเดินทางไปเรียน เพราะสมัยนั้น การเดินทางก็ไม่สะดวกต้องเดินทางตัดทุ่งนาไประยะทางไกล แม่จึงตัดสินใจให้ฉันสึกออกมาเป็น อ้ายเชียง ซึ่งเป็นคำสรรพนามที่พวกน้องๆ พวกสมพัฒน์ คาวี ฉวี และอีกหลายๆคนเขาใช้เรียกชื่อฉันว่า อ้ายเชียง แทนชื่อสมโภชน์  
        เมื่อสึกออกมาแล้ว ก็ทำงานช่วยพ่อมี่ได้บ้าง เช่นตักน้ำ เลี้ยงควาย แต่เรื่องไถนา และขี่เกวียนยังไม่เก่งนัก เคยทำไถหักเพราะข้อมือเกร็งหางไถยังไม่แข็งพ่อ เคยขี่เกวียนเทียมวัวปีนคันนา เกวียนคว่ำ พ่อเคยสอนให้ขี่ม้า เพราะตอนนั้นพ่อเป็นพ่อค้าม้ากับลุงสังเวียน ฉันก็ขี่ได้เพียงให้มันเดิน และวิ่งแค่เหยาะๆ วิ่งสามขา เมื่อม้าวิ่งเร็วหน่อยก็กระโดดลงไม่กล้าขี่ พ่อเป็นอาจารย์คนแรกของฉันจริงๆ ท่านจะสอนหัดฉันทุกๆด้าน บางอย่างฉันก็จำได้ดีมากเช่นหัดให้คิดคำนวณ หน้าไม้ คิดเนื้อที่ของไร่นา คิดคำนวณเนื้อที่ของดินในบ่อน้ำ คำนวณกองข้าว กี่หมอน กี่วา มีข้างกี่ฟ่อน ข้าวกองอยู่กลางลาน คำนวณดู ว่าประมาณ กี่เกวียน แนวคิดแบบนี้ ฉันทำได้หมด
        พ่อสอนวิธีการเข้าป่า ตัดฟืนเพื่อหุงข้าวทำครัว บางคนขึ้นเขาลงห้วยไปหาเอาไม้ ตะแบก ไม้เสลาใหญ่ ตัดแล้วแบกหามมาใส่เกวียน ทั้งไกลทั้งหนัก ถึงบ้านแล้วก็ ก็นำผ่ามาตัดเป็นฟืนหุงข้าวเหมือนกัน ท่านสอนให้ฉัน ให้เราเอาไม้อยู่ข้างๆเกวียน มีไม้ตะแบก เสลาดีๆตรงๆถึงแม้ว่ามันจะไม่ใหญ่ ต้นโตเท่าแขน เท่าขา ก็พ่อแล้วเราตัดแบกมาใส่เกวียนของเราใกล้ๆ ไม่ต้องแบกไกลๆ ไม่ต้องเปลืองแรงมาก ไปถึงบ้านเราตัดก็ง่าย ผ่าก็ง่าย เหนื่อยก็น้อยกว่า ไม้ก็เต็มเกวียนเร็วกว่า
        การ เข้าป่าหาหน่อไม้ก็เหมือนกัน ส่วนมากพวกเขาต่างก็ขึ้นไปบนเขาสูงๆ หาหน่อไม้ใหญ่อวบสวยๆ แต่ต้องปีนขึ้นเขาลงเขาจนเหนื่อย เหงื่อไหลไคลย้อย แต่คุณพ่อสอนเราให้หาเอาตามตีนเขาข้างล่าง หน่อไม้ก็มีมากมายหักเอาด้วยมือก็เต็มหาบ หน่อไม้ทั้งหมด ทั้งหน่อเล็กหน่อก็ไม่เห็นจะเป็นไร เมื่อหาบไปถึงบ้าน ก็นำไปสับซอย เป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อย จะเป็นหน่อไม้ใหญ่หรือหน่อเล็กมันก็เหมือนกัน สับซอยแล้วเอาไปดอกไว้ไปแล้วก็มีคุณมากอย่างเดียวกัน เราคนหาไม่น้องเหนื่อยมากเหมือนกับคนอื่นๆ คุณพ่อสอนให้เราฉลาดกว่าเพื่อนบ้าน  แม้แต่การสานลอบ สานไซไว้ดักปลา บางคนสานด้วยผีมืออันสวยงาม อย่าง ประณีต อวดผีมือ สานแข่งกัน แล้วนำไปดักปลาไว้ที่ทุ่งนา  ที่อยู่ไกลจากบ้าน กลางคืนถ้าไม่ไปนอนเฝ้า ไซงามๆก็จะหายเพราะมีขโมยชอบ เพราะมันจะได้ทั้งปลาทั้งไซขายต่ออีกที สำหรับไซของคุณพ่อ สานมันอย่างหยาบๆ ไม่สวยงาม ขโมยไม่เอา เพราะขายต่อไม่ได้ราคา ขโมยมันก็เอาแต่ปลา แล้วก็ทิ้งไซไว้คืนให้เจ้าของ นำไซมาใช้ดักปลาต่อไปเหมือนเติม จะว่าพ่อสานไม่เป็น หรือไม่มีฝีมือก็ว่าไม่ได้ เพราะคุณพ่อ ท่านสานกระติกข้าวเหนียว ได้อย่างละเอียดลออมากและสวยงามที่สุดในหมู่บ้านของเราทีเดียว
        ตอนฉันเป็นเด็ก พ่อทำนาริมบ้าน ตอนนั้นมีสิบไร่ พอเสร็จนาบ้านแล้ว ก็ไปทำนาต่อที่โคกคราม เป็นนาของยาย สำหรับใส่ข้าวเบา มีควายเจ้าลอมเป็นแรงงานคู่มืออยู่เพียงตังเดียว ต่อมาก็มาเช่านาทุ่งสระเตย เพิ่มอีก ห้าสิบไร่ รวมเป็นหกสิบไร่ เลิกทำนาโคกคราม มีลูกจ้างสองคนผัวเมีย นอน อยู่ที่นา ชื่อ ตาหวัด เมียแกชื่อ ยายนาง พ่อจึงซื้อควายชื่อเจ้าหวา มาคู่เจ้าลอมไถนา ฝนฟ้าบริบูรณ์ ทำนาดำได้ข้าวเต็มยุ้งทุกปี ตาหวัด ลูกจ้างก็ทำงานเก่งมาก พาเมียมาอยู่บ้านเราสองปี ปีที่สามไม่ กลับมาพ่อก็จ้างลูกจ้างใหม่ อีกสองคนชื่อ นายปิ่น กับนายใส นายปิ่นเป็นคนทำงานเก่งใจร้อน นายใสเป็นคนทำงานช้าใจเย็น พ่อจึง ให้ค่าจ้างนายปิ่นมากกว่าสายใส เพราะผลงานต่างกัน คนภาคอีสานเมื่อก่อนนี้ ลงมาสมัครรับจ้างทำนาเป็นรายปี หรือเป็นระยะเวลาชั่วคราว แล้วแต่จะตกลงกันนายจ้าง เขามากันเป็นหมู่ๆ หลายคนมาพักอาศัยกินนอนอยู่ตามวัดก็ยังมี ใครต้องการลูกจ้างทำนาก็ไปคัดเลือกเอา คนที่ตนเองคิดว่าทำงานเก่ง และถูกชะตา พ่อก็ไปคัดเอาเหมือนกันกับนายจ้างคนอื่นๆ ไม่ต้องเสียเวลาไปหาคนถึงแถวอีสาน พ่อมีวิธีคัดลูกจ้างโดยเฉพาะเวลาทานอาหาร มีนายปิ่นนั่งยองๆกินข้าว นายใสนั่งขัดสมาธิ พ่อเลือกเอานายปิ่น ไม่อยากได้นายใสนัก แต่ท่านต้องจำใจเลือกเอาทั้งสองคนนี้ เพราะเขาไม่ต้องการแยกกันอยู่ เพราะมาจากหมู่บ้านเดียวกัน คือมาจาก ศรีษะเกษด้วยกัน เหตุผลของคุณพ่อคือ คนนั่งยองๆกินข้าว เป็นคนใจร้อนรีบกินอิ่มแล้ว ก็รีบไปทำงานต่อ ส่วนคนนั่งขัดสมาธิ มันเป็นคนใจเย็นกินข้าวอย่างช้าๆนานๆ ทำงานก็ช้าลง สองคนนี้จึงเป็นตัวให้เห็นได้จริงอย่างที่พ่อพูดไว้ ฉันศึกออกมาทำนาในระหว่างที่ นายปิ่น และนายใสอยู่ทำงานที่บ้าน และมาเห็นฝีมือ นาบปิ่นตำนา เกี่ยวข้าวได้เร็วจริง พยายามทำตามแบบเขาก็ยังทำไม่ได้เลย
        ปีต่อมา พ่อก็นำเอาหลานของท่านที่บ้านกลับมาอยู่ด้วยสามคน เป็นลูกของคั๊วเทียม เป็นเด็กกำพร้า อาศัยที่คนอื่นปลูกกระท่อมหลังเล็กๆอยู่ พ่อเห็นแล้วสงสารเลยเอามาอยู่บ้านเราทั้งสามคน หลานของท่านทั้งสามกำลังย่างเข้าวัยหนุ่มสาว รุ่นพี่ๆของฉัน พ่อต้องการเอาหลานมาอยู่เพื่อเอาใจคุณย่าปรั่ง แม่ของท่าน ย่าปรั่งก็รักและสงสารหลานท่านซึ่งเป็นเด็กกำพร้ำ รักมากเป็นพิเศษจนเอนเอียงจนสมพัฒน์ น้องสาวฉันนึกอิจฉาในความลำเอียงของย่า หลานของพ่อ สองคนแรกเป็นผู้ชายชื่อ ว่า ทม และ ทอง คนสุดท้องเป็นหญิงชื่อว่า เสวียน เกิดก่อนฉัน สามปี ซึ่งก็เป็นภาระของครอบครัวพ่อแม่ของฉันมาก ที่ดูและอุปถัมภ์ พวกพี่ๆน้องๆของคุณพ่อแล้วก็ยังต้องมาดูแลหลานๆอีก
        พ่อซื้อควายเพิ่มอีก 1 ตัว ชื่อเจ้าลอย ทำนาทุ่งหนองนาดี เพิ่มอีก ยี่สิบไร่ ส่วนนาริมบ้านเก้าไร่ แม่ก็ขอให้พ่อใส่ข้าวเหนี่ยวทั้งหมด เอาไว้สีข้าวสารกินอย่างเดียว ครอบครัวของเราตอนนี้มีคนเยอะแยะ ลูกหกคน หลานสามคน พ่อ แม่ และ ย่า รวมเป็นสิบสองคน แม่บอกว่า ข้าวจะต้องไม่ขาดหม้อขาดไหเด็ดขาด ที่น้อง ญาติทางแม่ฉัน เขาต่างก็ ติเตียนนินทาแม่ลับหลัง พูดประชดนิดประชดหน่อยให้ฉันฟังว่า... สงสารแม่เย็นของฉันมาก มีแต่พี่น้องทางพ่อมาเบียดเบียน ทำให้เดือนร้อนอยู่บ่อยๆ ลูกของตนเองก็มีหลายคน ยังมาเลี้ยงดูหลานๆของสามีอีก... แม่บอกฉันว่า สงสารเขาไม่มีบ้านและที่อยู่อาศัย ย่าปรั่งก็เป็นยายคนเดียวของเขา เขาเป็นเด็กกำพร้า ก็ต้องมาอยู่กับยายเขาถึงแม้ว่ายายเขาไม่มีที่อยู่ และมาอาศัยอยู่กับพวกเราเราก็ต้องรับเด็กไว้ด้วย ถึงอย่างไรพวกนั้นก็เป็นหลานของพ่อเธอ มันก็เป็นหน้าที่ของลุงจะต้องดูแลหลานๆด้วย มันคงไม่สิ้นเปลืองเปล่าๆหรอก ให้เขามาช่วยทำนา ทำงานบ้าน ให้มีหน้าที่กันทุกคน ช่วยกันทำมาหากิน พอหมดหน้านา ก็เลี้ยงวัวควาย หานก หนู ปูปลากันกิน ส่วนผู้หญิง ก็ตักน้ำปลูกพริก มะเขือ เลี้ยงหมู เลี้ยงเป็ด ไก่ ทำงานครัว จะได้ช่วยแม่ทำงานและแบ่งภาระแม่ได้บ้าง และพวกเขาก็ขยั้นช่วยงานได้ดี  สำหรับพี่ทองที่เป็นน้องชายของพี่ทม เขาก็ฉาบแววในทางเป็นนายพราน ชอบยิงนก ตกปลา ดักหนู ยิงกบ เก่ง หาอาหารกินได้ทุกวัน สำหรับตัวฉันนั้น วิธีหากินในหน้าน้ำท่วมบ้าน โดยใช้ข่ายดักไว้ตามทางหลวงข้างๆบ้านและกลางคืน ก็หาจับกบตามได้ถุนบ้าน ไม่เคยออกไปทุ่งนาเหมือนคนอื่นๆ เพราะปูปลาในสมัยนั้น มีอยู่เหลือเฟือมากมาย ฉันใช้สูตรเดียวกับที่พ่อสอนไว้ เรื่องหน่อไม้บนเขา กับตีนเขา เพราะคนอื่นๆเลยไปกับหน่อไม้ชั้นบนเขาเพราะหน่อมันใหญ่กว่า แต่ก็ลำลากมากและเหนื่อยมากกว่าที่ขึ้นทั้งๆที่ ข้างล่างตีนเขาก็ยังมีหน่อไม้เพียงพอ..... เรื่องหากบกับเขียด ปูปลาก็เหมือนกัน คนเลยไปหาตามทุ่งนา ที่บ้าน ปลาและกบจึงมีชุกชุม ดักปลาตามบ้าน หากบตามกองฟาง ตามคอกควายไต้ถุนบ้าน ตัวใหญ่จับเอาก็ง่าย คุ้นคนด้วย หาพักเดียวก็ได้เป็นกิโลๆ แม่บอกให้ฉันหาแต่พอกิน ห้ามออกไปหาตามทุ่งนา เพราะกลัวงูดัดเอา เพราะฉันยัง ไม่มีประสพ การณ์ ยังเด็ก วัยรุ่น อายุแค่ 15 ปี ยังไม่ให้ออกไปเสี่ยงหากิน ในยามคำคืน ตามทุ่งนาเป็นอัดขาด
        ชีวิตในชนบทสมัยนั้น จะเป็นว่าเป็นวิถีชีวิตที่เรียบง่าย มีข้าวที่เราปลูกได้เอง มีกับข้าวที่หาได้เองตามธรรมชาติ มีต้นอหอม ตะไคร้ กระเพา โหรพา ใบมะกรูด แมงลัก ข่า พริก มะเชื่อ มะขาม มะนาว ทุกๆอย่างที่อยู่ในชนบททั้งสิ้น ไม่ต้องใช้เงินซื้อ เว้นแต่ น้ำมันก๊าดใส่ตะเกียง น้ำตาล เกลือไม้ขีดไฟ ยารักษาโรค เท่านั้น ปลาดุกที่ฉันดักข่ายมาได้ แม่ก็จะให้เขาเอามาต้มน้ำทำแกง ต้มใส่น้ำปลาร้า มาทำเป็นน้ำพริก กบที่พี่ทองหามาจากทุ่งนา ตัวตายก็จะให้แหวะท้องคลุกเกลือตากแดด ปิ้งกินกับข้าวเหนียวนึ่ง ที่ยังไม่ตายก็จะนำมาแกงคั่วแห้ง แกงฝอ นก หรือหนู ก็จะแกงป่า แกงเผ็ด ซึ่งเป็นกับข้าวที่หาเองได้ตามธรรมชาติทั้งสิ้น มันคือชีวิตของชาวชนบทที่อาศัยอยู่ในหมู่บ้านไกลจากความเจริญ ท่ามกลางทุ่งนา ที่มีระยะทางห่างจากถนน จากชุมชนในเมือง ประมาณ 4-6 กม รอบทั้งสี่ด้าน สัญจร ต้องใช้เท้าเดินไปตาม คันนา และตามทางเกวียนในฤดูร้อนตลอดมา
        ต่อมาพี่ทมก็ถูกคัดเลือกเป็นทหารเกณฑ์ และก็ถูกส่งไปทำสงครามที่ประเทศเกาหลี ก็มีนาย เฉลิม หลานอีกคนหนึ่ง ซึ่งเป็นลูกคั้วเติม (น้องสาวต่างพ่อของคุณพ่อ) มาอยู่แทน พ่อมีลูกจ้างอีกคนหนึ่งชื่อนาย จักษ์ คน ขอนแก่น ปีนั้นทำโรงนา นานอยู่ที่นา หนองนาดีตอลดปี
        คุณพ่อและครอบครัวของเราต้องคอยรับภาระพวกพี่น้อง หรือลูกๆ หลานๆ ของพ่อมาตลอด สาเหตุก็เพราะคุณย่าปรัง มีฐานะยากจน ไม่มีสมบัติอะไรจะแบ่งให้ แม้ที่อยู่อาศัยก็ไม่มี ที่ทำมาหากินก็ไม่มี ก็พาลูกหากินรับจ้างไปวันๆ ในที่สุดทำงานไม่ไหวก็มาบวชเป็นชี ที่วัดชีป่า ที่ลพบุรี ป้าทองมาลูกสาวคนแรก แต่งงานมีครอบครัว มีบ้านมีที่ทำกิน แต่ต่อมาลุงผู้เป็นหัวหน้าครอบครัว ก็ป่วยเป็นอัมพาต นอนไม่กระติก ป่วยมาเป็นสิบๆผี คงปล่อยให้คุณฝ้า พร้อมลูกสาวของท่านทั้งสามคนดุแลกันเอง คนต่อมาก็คือป้าแพงสี ท่านแต่งงานกับนักเลง หลังสักยันต์ กินเหล้าแล้วอาละวาด อวดเก่ง พาลูกเมีย ระเหเร่ร่อน รับจ้างทั่วไป ไม่มีที่อยู่ อาศัยเป็นหลักแหล่ง คนที่สามก็คือ คุณพ่อของฉัน คนที่สี่ คือ น้องชายถัดจากพ่อ แต่เป็นลูกของย่ากับสามีใหม่ของท่าน ชื่อว่า คุณอาว เซี้ยม แต่งงานกับลูกสาวคนมีเงิน แต่ทำตัวไม่ดี ต้มตุ๋นหลอกลวงจนพี่น้องทางฝ่ายเมียไม่นับถือ พ่อตาแม่ยายตัดหางปล่อยวัด.. คนถัดมาเป็นผู้หญิง ชื่อคั้วเทียม คนนี่ยากลำลากผัวคนแรกตายจากไป เหมือนกับคุณย่า มีลูกอยู่ สี่คน ก็คือ พี่ ทม พี่ ทอง พี่ เทียน และพี่เสวียน  ผัวคนที่ที่สองก็มีลูกอีก สามคน  น้องคนถัดไปขอพ่อคือ อาว์เซิ้ม (เป็นคนที่หก) เป็นคนซื่อสัตย์ สุจริต แต่แกอายุสั้น ได้ห้าสิบกว่าปี ก็เสียชีวิต ยืมเงินพ่อไปจำนวน แปดร้อยบาท เพื่อเอาไปลงทุนทำไร่ ก่อนตายส่งคนมาบอกพ่อให้ไปเอาไร่ที่เขาทราย เพื่อใช้หนี้ให้พ่อ เนื้อที่ไร่จำนวน 100 ไร่ พ่อบอกจะให้ฉันไปเอา แม่บอกว่าห้ามไม่ให้ไป เดี๋ยวเป็นไข้โป้งตาย...  ลูกคนที่เจ็ด เป็นหญิง คั้วเติม แต่งงานกับลูกชายคนรวย ตีเหล็กขายที่ตลาดชุมแสง แต่ผัวเป็นคนขี้เกียจ ไม่เอาถ่าน ผลาญสมบัติของพ่อแม่ แล้วพาลูกเมียเร่ร่อนต่อๆมา... คนที่แปด คือ อาว์เต็ม อยู่กับพ่อตอนฉันยังเล็กๆ จำได้ว่าเคยอุ้มฉันไปเที่ยวเล่นตามบ้าน ต่อมาได้แต่งงานกับแม่หม้ายลูกติดที่บ้านสระเตย ทำนาหากินเหล้า เคล้านารี ตามบ้าน... คนสุดท้าย คนที่เก้าคือ คั้วตอง แต่งงานกับคนจีน ค้าขายเลี้ยงหมู ตอนแรกๆก็ดี เอาย่าปรังไปอยู่ด้วย อยู่ดีมีสุข ตอนหลัง สองผัวเมียเล่นไพ่ เล่นเฮ่โลบางทีก็ได้เงินดี รับจำนำสิ่งของเต็มบ้าน แต่บางเดือนก็หมดตัวไม่มีของเหลือให้เห็น เรื่องไฟ่นี้เอง แกเอาหมูแม่ไปขาย ไม่เอาเงินมาให้ก็เพราะเอาเงินขายหมูไปเล่นไพ่หมดตัว ฉันเวียนไปตามให้แม่เป็นสิบๆครั้ง ได้คืนมาบ้าง จำไม่ได้แล้ว คืนมาเท่าไหร่ แต่ทียังจำได้ดีอยู่ก็คือยังเหลือหนี้แม่อยู่ สามร้อยกว่าบาท ต่อจากนั้น ต่างคนต่างก็ลืมมาจนกระทั้งแม่ก็ตาย คั้วตองก็ตายแล้ว สงสัยคงไปใช้แม่ชาติหน้า โน้นแหละ สมัยนั้นเงินสามร้อยบาทมีค่ามากมาย  เพราะราคาทองหนึ่งบาทมีค่า 400 บาทแล้ว ตอนแม่ให้เงินฉันไปเรียนหนังสือที่โรงเรียนหลุมข้าว วันละหนึ่งบาทเท่านั้น ฉันกินจนหมด แม่ยังบ่นว่า ฉันใช้เงินเก่ง
        ประวัติของคุณพ่อ ท่านเป็นลูกคนที่สามของ ย่าปรั่ง ที่สาวของท่านคือ ป้าทองมา กับป้าแพงสี ทั้งสามคนเป็นลูกพ่อแม่เดียวกัน นามสกุลของท่านคือ พหลยุทธ ปู่ (พ่อท่าน)ตายคอนพ่อยังเล็กๆ อายุได้แค่ห้าขวบ ย่าปรังแต่งงานใหม่ พี่สาวของย่าปรัง กับลุงเขยที่เป็นสามีของท่านมาขอเอาพ่อที่เป็นหลานชายซึ่งยังเด็กเล็กๆอยู่ไปเลี้ยงดูอยู่ด้วยที่บ้านท่าน พ่อยังเด็กอยู่จึงก็มีความผูกพันใกล้ชิดกับครอบครัวนี่มาก ลุงเขยก็ให้ใช้นามสกุล กางกรณ์ ของท่านแทนนามสกุลเก่า พ่อจึงถือนามสกุลใหม่นี้มาตลอด และจากนั้นไม่เห็นมีใครในสายเลือกเดิมของท่านมาเป็นห่วง หรือคอยดูและปกป้องท่านเลยสักคน  พ่อจึงมีความผูกพันและสนิมสนมกับญาติท่านทางแม่และลุงเขยของท่านตลอดมา เรื่องพี่น้องทางสายเลือดของท่านนั้น พ่อไม่เคยพูดถึงด้วยซ้ำไป ฉันฟังมาจากปากของป้าทองมาพี่สาวคนโตของท่าน ป้าเล่าให้ฟังเท่านั้น ส่วนพ่อนั้น ท่านเล่าถึงชีวิต ในวัยหนุ่มของท่านที่เร่ร่อนออกมาจากบ้านป้าและลุง ตะเวนไปทั่วดินแดน จากปากน้ำโพ ไปพิจิตร พิษณุโลก ท่านไปรับจ้างเลื่อยไม้อยู่แถว ดงผุย เขาทราย และชุมแสง การศึกษาของพ่อนั้น ท่านก็เรียนตามวัด ตอนเป็นลูกศิษย์วัด คุณพ่อเป็นคนใฝ่เรียนรู้ ท่านจึงสามารถ อ่านออกเขียนได้ ทั้งภาษาไทย ภาษาลาวพวน และภาษาขอม ภาษาเหล่านี้ที่เขียนไว้ในใบลาน พ่อก็อ่านหนังสือใบลานได้ ท่านคิด...หน้าไม้ เป็นยก เป็นวา เป็นศกได้ คิดนาเป็นไร่เป็นงาน คิดดินขุดบ่อ เป็นหลุม เป็นวา เป็นศอกได้ ชาวบ้านขอให้ท่านช่วยคิดให้อยู่ประจำ ท่านคำนานข้าวเปลือกที่กองอยู่กลางลานว่ามี จำนวนกี่ถัง แม่นมาก ข้าวฟ่อนอยู่ในกองข้าว พ่อรู้หมดว่าข้าวกองนั้น มีจำนวนกี่ฟ่อน เรื่องนี้ฉันชื่นชมในตัวของพ่อมากทีเดียว  ท่านออกจาก ดงผุย เขาทราบ เรื่อยลงมาจนถึงหมู่บ้านหลุมข้าว เพราะพ่อรู้จักเพื่อนคนหนึ่งชื่อว่า นายของ บุญลือ ที่เคยไปมาหารับจ้างเลื่อยไม้ด้วยกันเมื่อคุ้นเคยกันมากขึ้น คุณป้าฝน แม่ของ ลุงของ จึงชวนพ่ออยู่เพื่อทำงานด้วยกันที่บ้านท่าน กับลูกชายท่าน นายของและน้องสาวอีกสองคนชื่อ ป้ง และ ปาน และทุกๆคนในครอบครัวนี้ก็ยังคุณพ่อทั้งหมดก็รักและไว้ใจพ่อเหมือนว่าเป็น ครอบครัวของท่านจริงๆแม่ของ ลุงของก็
เปรียบเหมือนแม่บุญธรรมของท่านนั้นเอง
        ต่อมาลุงของมาแต่งงานกับสาวบ้านมะขามเฒ่า ซึ่งอยู่ไม่ไกลจากบ้านหลุมข้าวนัก พ่อก็อยู่ทำงานที่บ้านแทนลุงของเพื่อช่วยเหลือแม่บุญธรรมของท่านต่อๆมาจนในที่สุดท่านผู้ใหญ่ก็ขอ คุณแม่ที่มะขามเฒ่าให้ท่านแต่งงานเพื่อตั้งรากฐานสร้างครอบครัวของตนเองตั้งแต่นั้นมา
        ครอบครัวของคุณแม่ของฉัน เริ่มต้นมาจากที่ดินมรดกของคุณตา (พ่อใหญ่) จอน ลูกชายคนหนึ่งของครอบครัวที่มีลูกหลายคน  เราเรียกว่า ครอบครัวพ่อเฒ่า และแม่เฒ่าเอี่ยม ครอบครัวนี้เป็นครอบครัวหนึ่งในเจ็ดครอบครัว ของผู้ อพยพที่มากก่อตั้งหมู่บ้านอยู่ติดกับหนองน้ำที่มีต้น มะขามแก่ใหญ่โตอายุหลายๆร้อยปี และมีต้นมะขามใหญ่อยู่สามต้นอายุต่างก็คงจะใกล้เคียงกัน ยุคแรก ท่านเหล่านี้ต่างพากันจับจองที่ดิน พาลูกหลาน ถางป่าจับจองเอาที่ทำเป็นที่นา ปลูกข้าว กันคนละเป็นร้อยๆไร่ และตั้งชื่อหมู่บ้านว่า บ้านมะขามเฒ่า นับว่าเป็นครอบครัวที่มีที่ดินทำมาหากินมากที่เดียว และเมื่อลูกๆ แต่งงานออกเรือนแล้ว เขาต่างก็แบ่งที่ดินให้ทำมาหากิน ให้คนละ 20 ถึง 30 ไร่แล้วแต่ความเหมาะสมของแต่ละครอบครัว สำหรับที่ดินของ พ่อใหญ่ จอน ซึ่ง พ่อแม่ท่านตั้งใจไว้ว่าจะให้นั้นมัน ติดกับเขตุวัด ทาสงด้านทิศใต้ มีเนื้อที่ประมาณ 23 ไร่มันติดหมู่บ้านเหมาะสำหรับปลูกบ้านที่อยู่อาศัย แต่พ่อใหญ่จอนมา ตายก่อนได้รับมรดก แม่เฒ่าเอี่ยม ท่านจึงแบ่งเอาไปขายไป 8 ไร่ให้ชาวบ้านทุ่งน้อยที่ย้ายเขามาอยู่ใหม่ เพื่อปลูกบ้านที่อยู่อาศัยเพราะติดกับวัด ที่จึงเหลือที่นาอยู่แค่ 15 ไร่ แต่แม่เฒ่าเอี่ยม แทนที่จะมอบให้ ลูกสะใภ้ท่าน คือ ยายอ่อน (แม่ของแม่ฉันเอง) แต่ท่านรังเกลียดลูกสะใภ้คนนี้ว่า ยายอ่อนเป็นลูกของคนยากจน ท่านจึงตัดสินใจยกนาที่เหลือให้กับหลานคนโตของท่านทั้งสามคน คือ คุณแม่ ซึ่งคนหัวปลี น้าไว (น้าคาวี) คนที่สอง และน้าทิดผัน คนที่สาม และให้มีชื่อเป็นกรรมสิทธ์ รวมกัน 3 คน
         ต่อมา น้าทิดผันจะแต่งเมียที่บ้านสระเตยน้อย ไม่มีทองเป็นของหมั้น จึงขอทองข้อมือของแม่สองเส้น และสร้อยคอหนึ่งเส้น น้ำหนักรวมกัน สามบาท เพื่อแลกกับนาจำนวนห้าไร่ แม่ก็ตกลงลง แล้วก็ถอดสร้อยคอและสร้อยข้อมือให้น้องชายไป (อาจจะมีบางคนคิดว่าน้าทิดผันเป็นผ่ายเสียเปรียบ) แต่ความเป็นจริงแล้ว น้าทิดผันเป็นคนขอแลกของเองไม่ใช่แม่เป็นคนเสนอให้น้องเลือก อีกอย่างที่ดินสมัยนั้นราคามันถูกมาก เมื่อยี่สิบปีก่อนคุณแม่เกิด ที่ดินแถวนี้ ยี่สิบไร่ เราเอามีดอีโต้แลกเอาเล่มเดียวก็พอแล้ว  เพราะมีด หรือขวาน มันเป็นเครื่องมือในการถางป่า ขยายเขตุที่ทำกิน มันจึงมีค่ามาก และจากนั้นมา แม่ถึงมีนาติดบ้าน รวมเป็น 10 ไร่ และพ่อแม่ก็เริ่มทำนาสร้างตัวมาตั้งแต่นั้นมา นาแปลงนี้อยู่ในเขตุ หมู่ที่ 2 สมัยนั้นใส่ข้าวกาบดำ ข้าวล้นครก ข้าวเหนียวกะโหลก ข้าวเหนียว อิโต้ ข้าวงามเขียวขจี ไปทุกๆปี เพราะน้ำฝนนำปุ่ยไหลผ่านหมู่บ้านมาลงนาในฤดูฝน หรือน้ำป่าไหล หลากในฤดูของมัน ที่นาบ้านนี้ ผลประโยชน์ดีตามความประสงค์จริงๆ นอกจากข้าวจะงามโดยไม่ต้องใช้ปุ๋ยเคมีแล้ว ปูปลา ก็มีมาก เป็นอาหารของเราอย่างดี ตามคันนาแม่ก็ปลูกถั่วเขียว สามโพนก็ปลูกถั่วฝักยาว ต้นพริก และมะเขือ สำหรับเป็นอาหารประจำวันถั่วผักยาวถั่วเขียวก็ใช้ทำขนมได้ มีทั้งถั่วเขียว ถั่วดำ เป็นของหวาน เวลาไถนา คราดนา ฉันเห็นพ่อใช้มีด หรือไม้ขัดหลัง คอยฟันหรือตีปลาดุกอุยตัวเหลืองใหญ่ บางทีก็จับกบแล้วก็เรียกฉันลงไปเอา ในฤดูหนาวน้ำลดลง พ่อเริ่มปล่อยน้ำออก พ่อก็ทำกระบังไว้เอาไซดักปลาดักทิ้งไว้ มีทั้งปลาหลด ปลาไหลติดอยู่ในไซ ทำเป็นปลาเค็ม ตากแห้ง กินกันจนเบื่อ ทำหลุมโจนไว้ ตอนน้ำใกล้จะแห้ง ปลาช่อนตัวใหญ่ๆเท่าแขนตกลงในหลุม จับมาขังไว้กินกันเป็นเดือนๆ ชีวิตชนบทสมัยยังเด็กๆอยู่นั้น มันช่างเรียบง่าย สบายมากไม่มีการเดือดร้อน ไม่จำเป็นที่จะต้องใช้จ่ายเงินทองใดๆ อาหารทุกอย่างก็มีอยู่พร้อม มีผักต่างๆ กบ ปู ปลา มีไก่บ้านเลี้ยงไว้ตามกลางบ้าน มีเป็ดเลี้ยงไว้กินไข่ มีกันแทบทุกหลังคาเรือน นานๆก็จะใช้เงินซื้อเนื้อหมูถ้าอยากทาน โดย ชวนชาวบ้านจะร่วมหัวกันหาซื้อหมูมาฆ่าเพื่อแบ่งกันเป็นส่วนเป็นส่วน อยากกินลามเนื้อ ก็หาวัวหรือควายมารุ่นมารวมขากัน ส่วนมากก็จะทำกันในวันเทศกาล งานบุญ งานประเพณีต่างๆ นั่นแหละพวกเราจึงจะเป็นหนทางใช้จ่ายเงิน ทองกัน
        ฉันเป็นเด็กบ้านนอกทุ่งนา มีร่างกาย สูงใหญ่ เติบโตมาได้อย่างแข็งแรงในชนบท ก็เพราะอาหารโปรตีน ตามธรรมชาตินีแหละ เมื่อวัยเป็นเด็ก ก็ดื่มนมของแม่ ต่อจากนั้นก็ไม่มีนมให้ดื่ม พออายุสิบสองปีก็บวชเป็นสามเณร ก็มีนมให้ดื่มบ้าง แต่เป็นนมข้นหวาน ชงกับน้ำร้อนดื่มในเวลาเย็น เพื่อกันไม่ให้หิวข้าวเย็น พอสึกออกมา ก็ดื่มน้ำข้าว ผสมน้ำตาลปิ้บ แทนนม แม้แต่ผลไม้ในเมืองเช่น เงาะ มังคุด ทุเรียน รำใยรังสาร องุ่น ลองกอง สะตอเบอร์รี่ เรารู้แต่เวลาอ่านหนังสือ ไม่เคยได้รู้รสชาติของมันเลย แต่ผลไม่ ป่า เช่น มะขามเทศ มะขามหวาน มะขามเปรี้ยว น้ำมันหมู มะกอก มะเฟือง มะม่วง มะเกลือ ตะโกสุก น้อยหน่า ฝรั่งขี้นก ลุกหว้า ตะขบ มะขวิด มะเก็นสุก พวกถั่วก็คือ ถั่วลิสง ถั่วเหลือง ที่ปลูกไว้ตามโนนนา ถั่วดินก็มาจากแม่ค้านำมาแลกข้าว ฝักกระถิน ก็ใช้แทนถั่วได้ พวกเรารู้ดีพวกของหวาน ฉันก็จะหากิน น้ำมิ้ม น้ำผึ้ง แตน ต่อ น้ำตาลปี๊บ กับข้าวเหนียวนึ่ง ทีและคืออาหารที่มีโปรตีนชั้นยอดเยี่ยมของพวกเรา
        ชีวิตครอบครัวเรามีการเป็นอยู่อย่างมีความสุขและฐานะเพียงพอ ไม่เดือดร้อน ไม่มีหนี้ใครๆ ต่อมาครอบครัวคุณน้า มณฑา น้องสาวอีกคนหนึ่งของแม่ ก็ย้ายบ้านจากบ้านสระใหญ่ มาอยู่บ้านมะขามเฒ่า มาปลูกบ้านอยู่ตรงที่บ้านของน้าไว อยู่ในปัจจุบันนี้ (แต่เดิมที่บ้านน้าไว อยู่ทิศเหนือ ที่อยู่ตรงร้านน้าทองปัจจุบัน) เมื่อปลูกบ้านแล้ว น้ามณฑาก็ไปชื่อนา โนนเจดีย์ เป็นหุ้นส่วนกันกับน้าไว พี่สาวเธอ เป็นนาของนาง ฟางลอย มี ส.1ที่ดินทั้งหมด สี่สิบไร่ เป็นนาโคก (เป็นที่สูง) ต้องอาศัย น้ำฝนอย่างเดียวเพื่อจะทำนาข้าวได้ เพราะน้ำป่าเข้าไม่ถึง ที่มันสูง นาแปลงนี้แบ่งกันคนละครึ่ง ปลูกข้าวพวงมะไฟ จ้าวเจ็กเชยเบา ทำนาด้วยกันสอง สามปี ก็ผิดใจกัน น้าพ่อสวาทสามีน้ามณฑา คนขี้โมโหใจร้อน มีเรื่องผิดใจกับ น้าพ่อคาวี สามีของ น้าไว น้ามณฑาก็ขายนาส่วนของท่านให้กับ คุณแม่ คุณพ่อโดยไม่ยอมขายให้ครอบครัวของน้าไว  น้าไวจึงขอร้องให้พ่อ แม่ซื่อเอาไว้โดยแอบเอาเงินมาให้ พ่อแม่ รับซื้อไว้ ในราคา 2000 บาท เพื่อน้าไว จะได้เช่าทำนา โดยไม่ต้องเสียค่าเช่า เป็นค่าดอกเบี้ย น้าไวจะทำนานี้ไปเรื่อยๆ จนกว่าพ่อจะจ่ายต้นทุนที่น้าไวให้ยืมไปจนหมดก่อน นับว่า นาแปลงนี้พ่อจะเอาเงินมาจ่ายตอนไหนก็ได้ และเมื่อจ่ายหมดแล้วถึงจะได้ มีสิทธิ ได้ค่าเช่านาต่อไป
        ส่วนน้ามณฑานั้น ก็ไปซื่อนาทำใหม่แถวคูขาด ซึ่งก็ไม่ไกลจากนั้นมากนัก แถมยังใกล้เข้ามาทางมะขามเฒ่าด้วย เป็นนาที่มีน้ำป่ามาถึง ดินดีมาก และไม่ต้องอาศัยน้ำฝนอย่างเดียว ที่ใหม่นี้มีจำนวน 15 ไร่ มีโฉนดด้วย ทำนาด้ำได้ผลดี ใส่ข้าวหนักได้ น้ามณฑาทำนาไปได้ สี-ห้าปี ท่านไม่พอใจกับใครไม่ทราบ และท่านก็เสนอขายที่ให้คุณพ่อและคุณแม่อีก คราวนี้ พ่อชวนแม่ขายที่ส่วนหนึ่งสำหรับปลูกบ้านให้ ตาเสนาะ ลุงสุก และลุงทองแยง จำนวน 1 ไร่ ได้เงิน 4000 บาท และกู้สหกรณ์ เพิ่ม เพื่อซื้อที่ผืนนี้ไว้ พ่อแม่จริงเริ่มจะเป็นหนี้เขา โดยท่านคิดว่า หากกลัวหนี้แล้ว เราจะไม่มีหน้าของตัวเองทำกิน เหมือนกับสุภาสิตที่ว่า ใจไม่กล้าแล้วก็อดขี่ช้างงาเล่น เพราะมีตัวอย่างหลายๆคน เช่น ตาบุญเหลือ ตาบุญชม พ่อถวิล เขากู้เงินซื้อนาเป็นของตนเอง แล้วก็ทำนาไปใช้หนี้ไป พยายามใช้ดอกเบี้ยทุกๆปี จะได้ไม่บานปลาย ในที่สุดเขาก็ใช้หนี้หมด ก็มีนาทำ ตัวอย่างคนไม่กล้ากู้เงินก็คือ น้าไวกับน้าพ่อคาวี ในครั้งนั้นผู้ใหญ่พวก พ่อของท่านเป็นเพื่อนรักกับหลวงประจักษ์ ที่ ลพบุรี ซึ่งเป็นตัวแทนจำหน่าย โรงสีข้าว ขนาดเล็ก ท่านชอบพอกับ น้าพ่อคาวีเป็นพิเศษ จะให้โรงสีกับท่านมาตั้ง เพื่อรับจ้างสีข้าวเอา ผ่อนส่งเอาจนกว่าจะหมด ราคาตอนนั้น สองหมื่นกว่าบาท น้าไวไม่ยอมเอา กลัวเป็นหนี้ ครูไตร เป็นครูใหญ่ พอทราบเรื่องก็มาขอรับเอาเสียเอง เพราะแกไม่กลัวหนี้ ต่อๆมาครูใหญ่ก็ร่ำรวยขึ้น ซื้อโรงสีอีกเป็นสองโรง ซื้อนาไว้อีกเป็นร้อยๆไร่ น้า พ่อคาวี กลัวหนี้ ไม่มีโรงสี และนาเหมือนเขา สำหรับครอบครัวของ พ่อแม่ฉันตอนนั้น มีที่นารวมกันสามแปลง รวมเป็น สี่สิบกว่าไร่แล้ว แต่ว่าที่นาไม่ได้อยู่รวมกัน ท่านจึงเช่านานาบเชื้อทำโดยให้คนอื่นเช่านาของตัวเอา เอาเงินค่าเช่ามาจ่ายค่าเช่านาใหม่ จึงไม่ต้องเสียค่าเช่านาเพิ่มขึ้นมากนัก มันก็คลายกับทำนาเราเองนั่นเอง
        ในระยะนี้ทางบ้านก็เริ่มมีปัญหา คือ พี่ทอง หลานของพ่อ ถูกเขากล่าวหาว่าปล้ำกระทำชำเราสาว และพยายามฆ่า เจ้าทุกข์เป็นหญิงสาวชื่อว่า ขันทอง เธอบอกว่าขณะเดินทางจากมะขามเฒ่าจะกลับบ้านสระเตยด้วยกันกับ พี่ทอง พอถึงกลางทางก็เข้าปลุกปล้ำแล้วลากเข้าไปหมกไว้ในป่าข้าว พอรู้สึกตัวก็เรียบวิ่งไปบอกข่าวร้ายกับพี่เขยที่บ้านมะขามเฒ่า ส่วนพี่เขยไปแจ้งความที่บ้านผู้ใหญ่ นวล ขอให้เจ้าหน้าที่บ้านเมืองตามมาจับกุม ตามข้อกล่าวหาของโจทย์ พ่อก็พาไปพบที่ทองที่ทุ่งนา กำลังเกี่ยวหญ้าอยู่ ผู้ใหญ่นวลจะเจ้าไปขอจับคุม พ่อก็บอกผู้ใหญ่ว่าไม่ต้องควบคุมนัวก็ได้ เพราะจะขอยอมรับผิดอยู่แล้ว กับไปบ้านก็จะไปเจรจากับโจทย์ ยอมเสียเงินให้ ในเวลาเดียวกัน ก็กระซิปให้หลานชายรีบกลับไปเอาเสื้อผ้า กับเงินที่บ้าน แล้วให้รีบหนีออกทางหลังบ้านไปก่อน แล้วพ่อก็ถ่วงเวลาผู้ใหญ่โอยเอาเหล้าออกมาเลี้ยง ให้แกตายใจ จนเริ่มเมา แล้วจึงรู้ว่าทีหลังว่าผู้ต้องหาหนีไปแล้ว ผู้ใหญ่นวลถึงกับสะอึก ทำให้แกโกรธพ่อมากหาว่าหักหลังกัน โตมาหักหลังกัน กันเคยนับถือโต กันจี่บ่นับถือโตอีกแล้ว ในที่สุดผู้ก็เป็นผู้ต้องหาเสียเอง เพราะโจทย์แจ้งว่าผู้ใหญ่นวลเป็นคนแนะนำให้ผู้ต้องหาหนีไป ผลก็คือผู้ใหญ่นวลต้องรับเป็นผู้เสียหายโดยต้องเสียเงินให้โจทย์เพื่อให้ถอนคดี หากไม่ทำตำแหน่งผู้ใหญ่บ้านก็จะต้องปลดออก ตอนท้ายผู้ใหญ่นวลจึงกลับมาขอให้คุณพ่อช่วยจ่ายเงินด้วยเพื่อสมทบกับเงินที่ขาดอยู่ พ่อก็ยินยอมแต่ตัวให้โจทย์เลิกข้อต้องหา นายทองหลานชาย เกี่ยวกับการข่มขืน ทุกๆอย่างก็จบลงไปอย่างดี แต่ผู้ใหญ่นวล ก็ไม่กินเส้นกันกับคุณพ่ออีกเลยตั้งแต่นั้นมา
        หลานของพ่อทำให้พ่อฉันเสียชื่อ และต้องผิดใจกับผู้ใหญ่บ้าน และทำให้ชาวบ้านไม่ค่อยนับถือแล้ว หลานคนนี้กับมาทำผิดอีกที่หมู่บ้านโดยไปขโมยทองคำของแม่ที่ท่านเคยให้ฉันใส่ในงานต่างๆ มันหนัก 1 บาทสร้อยข้อมือ สองเส้นน้ำหนักรวมกัน 2 บาท และแหวนทองนาคหัวหินอีกหนึ่งวง มันยังไปลักของเพื่อบ้านอีก สองครอบครัว คือ บ้านแม่สมพงษ์ คนข้างบ้าน สร้อยคอหนัก 2 บาท และกำไลทองคำของ ครูรัญจวน หนัก 4 บาท แล้วจาก เนรคุณก็เชิดหนี หายไปเลยไม่มีข่าวคราว อยู่มาเป็นสิบกว่าปี จนมาได้ข่าวตอนหลังว่า มันเป็นโขรกระจอกๆ ลักขโมยข้าวเปลือกชาวบ้านโดยวิธีเจาะยุ้งข้าวของคนบ้านหมี่ โดยใช้กระสอบรองเอา ขโมยเขาไปขายจนเคยตัว เจ้าของข้าวเขาจับได้ เขาดักยิงด้วยปืนลูกซองยาว นอนตายใต้ยู้งข้าวในระหว่างที่กำลังขโมยข้าวเขา มันกลายเป็นผีเฝ้ายุ้งข้าวที่บ้านหมี่นั้นเอง สิ้นเวรสิ้นกรรมไป ตัวของคุณพ่อก็พลอยมัวหมองและเสียชื่อเสียง เราะเพราะหลานของท่านด้วย
ก่อนที่นายทองจะถูกยิ่งได้ ยังมีน้องชาย คนรองมาจากท่าน ชื่อว่าอาว์เซี้ยม เป็นลูกของสามีใหม่ของแม่ท่าน มาอาศัยอยู่ที่บ้านพักหนึ่ง ในระยะนั้นพ่อมีเพื่อนที่ชอบคอกันมากอยู่ที่บ้านวังขอนขว้าง เป็นเพื่อนรักกับน้าพ่อคาวี ซึ่งชื่อว่า ตานูน หรือ พ่อทิดหล่อตามที่ชาวบ้านเรียกชื่อเขา ตานูนนับถือพ่อแบบพี่ชาย (ลุงใหญ่ เพราะว่า พ่อเป็นพี่เขยของเพื่อนรักเขา) ท่านเคยมาเที่ยวที่บ้านเรา เคยมากินเหล้าที่บ้าน เคยรู้จักอาว์เซี้ยม ท่านรู้ว่าเป็นน้องชายของพ่อ วันหนึ่งวัดวังขอนขว้างมีงานทำบุญ อาร์เซี้ยมก็ไปเที่ยวงาน ก็ไปตามหาว่าบ้าน ตานูน หรือพ่อทิดหล่ออยู่ที่ไหน พอเห็นว่าน้องของลูกใหญ่ มาเข้าก็ทำการต้อนรับอย่างดี มีการกินเหล้า กินเลี้ยงกัน คุยกันไป อาว์เซี้ยมก็เหลือบเห็นปืนลูกซองยาว แขวนไว้ข้างฝา ก็ขอดูปืนดูทั้งทะเบียนปืนด้วย คุยกันพอสมควรแล้วก็ชวนกันไปงานวัด ตานูนแกก็เป็นกรรมการจัดงานวันคนหนึ่ง ก็ยุ้งเกี่ยวกับงานในด้านต่างๆ และไม่ค่อยจะมีเวลาดูแลแขกตลอดเวลา จึงเป็นโอกาสให้แขก จอมกระล่อนแอบมาที่บ้าน มาเร่งบอกเมีย ตานูนที่อยู่เฝ้าบ้านว่า เกิดเรื่องที่วัด ตานูนบอกให้มาเอาปืนไปให้ และบอกให้เอาทะเบียนปืนด้วยเพื่อจะได้เอามาอ้างให้ตำรวจหากมีการตรวจดู เมื่อได้สิ่งที่ตนเองต้องการแล้ว เจ้าน้องชายพ่อจอมกระล่อน ก็หายเข้าตัวไปเลย ตานูนก็มาขอให้พ่อไปเอาปืนมาคืนให้ และจะไม่เอาเรื่อง เพราะรักและนับถือกันนั่นเอง พ่อก็ไปตาม หาตามคำขอคืนจากน้อง แต่ก็ได้รับคำตอบจากน้องชายว่า เล่นไพ่กันเสียแล้วก็เอาปืนไปจำนำ ทั้งปืนทั้งทะเบียน ถ้าอยากได้คืนก็เอาเงินไปไถ่เอา... แล้วอาว์เซี้ยมก็หนีไป พ่อกลับมาเล่าให้เขาฟัง เขาก็หาว่าเข้าข้างน้องชาย และเขาก็ประกาศว่าต่อไปนี้ไม่ต้องนับถือกันอีก ทิดหล่อที่เป็นลูกชายของตานูน เป็นนักเลงกำลังอยู่วัยหนุ่ม เป็นหนึ่งในเสือร้ายที่วังขอนขว้าง เขาสาบานว่า อย่าให้เจอะตัวก็แล้วกัน ถ้าเจอตัวเมื่อไร ก็เตรียมตัวตายได้แล้ว
เรื่องอาว์เซื้ยมนี้ กระทบสะเทือนมาถึงตัวฉันเองเพราะตอนมีครอบครัว ฉันไปเกี่ยวหญ้าแฝก ที่นาตานูน โดยมีน้าพ่อคาวี พาไปและไปค้างคืนที่บ้านเพื่อนคือตานูนนั่นเอง ตารุน พี่ชายของตานูน มาพบฉันเข้ารู้ว่าเป็นลูกพ่อสมโภชน์แกมาต่อว่า... พ่อมึงไม่ดี เข้าข้างน้อง ถ้าเป็นบ้านกู จะไม่ให้มึงมาเหยียบบ้านนี้เด็ดขาด ...ทิดหล่อหลานชาย อยู่ที่นั้นก็คงเช้าใจฉันดี แกก็ตอบเพื่อปกป้องฉันว่า... บั๋กโพดบ่อเกี่ยวหยัง ลุงเมาแล้วอย่ามั่ว กลับบ้านซะ บั๊กโพดบ่เกี่ยวเรื่องนี้ .... ฉันรู้สึกทราบซึ้งใจในคำพูดของทิดหล่อมาก แม้ว่าจะเป็นเสือร้าย แต่แก่ก็รู้จักแยกชั่วดีอยู่และมีความยุติธรรมดี
ชีวิตวัยรุ่นของฉันนั้น ไม่มีสาระมากนัก ใช้ชีวิตหมดไปกับการเที่ยวเล่น ยิงนก จับหนู ยิงกบ ตกปลา ตามหมู่บ้าน สนุกสนานไปตามวัย ท่ามกลางท้องทุ่งไร่นา เลี้ยงควาย  เที่ยวจีบสาว วัยรุ่นๆเดียวกัน กลับจากเลี้ยงควายมา ตกเย็นก็ตักน้ำจากสระที่วัดมาใส่ตุ่ม ใส่โอ่ง ใส่รางน้ำ หรือเรียกกันว่า บมน้ำไว้ให้วัวควายกิน เสร็จแล้วก็เที่ยวจีบสาวๆตักน้ำตามท่าน้ำ กลางคืน ถ้าเป็นเดือน มึดก็นอนดูดาว ดูหิ่งห้อยฝันหวาน เดือนหงายก็นั่งเล่น เดินเล่น ร้องเพลงเล่นตามกองฟาง กลางแสงจันทร์ ที่นี่เราไม่มี เรื่องวิทยุ ทีวี หรือไฟฟ้า มีแต่ตะเกียงกระป๋อง ตะเกียงรั้ว ดีที่สุดก็คือ ตะเกียงเจ้าพายุ ซึ่งจะให้ก็ต้องเมื่อมีงานกันเท่านั้น วันใดมีการประกาศข่าว ทางวัดก็จะเปิดเครื่องไปเปิดแผ่นเสียง คณะลิเก คณะเจตนานาถ เรื่องไกรทอง ซาละวัน เรื่องพ
าน้อยชมตลาด ฟังเรื่อง มะเทิ่งกับนางเม้ยเจิง ร้องตามแผ่นเสียงจนจำได้ บ้างทีก็มีผ้าป่าจากหมู่บ้านใกล้เคียงมาทอด เวลากลางคืน มีการเล่นรำวง ตีกลองร้องเพลงใส่เครื่องขยาย ที่เป็นเครื่องไฟประจำวัด ดึกพอสมควรแล้ว ก็ทอดผ้าผ่า กลางคืน โมทนาบุญแล้ว ต่างคนก็แยกย้ายกันกลับ บ้าน บางงานก็มี เรื่อง ตีกัน ชกต่อยกันตามประสาวัยรุ่น ใจร้อน สมัยนั้น
แต่ละปีหลังจากเก็บเกี่ยวข้าว และขนข้าวเขายุ้งฉางแล้ว และหลังจากพ่อแม่ขายข้าว ท่านจะให้เงินฉันไปซื้อเสื้อ กางเกง และของใช่ต่างๆ ที่ตลาดบ้านหมี่ ปีละครั้ง พวกเราก็จะใส่รองเท้าแตะยางรถยนต์ เดินทางไปตลาดบ้านหมี่ ระยะทาง แปดกิโลเมตร นานๆก็จะได้นั่งรถไฟไปเยี่ยมญาติ ทางพ่อที่บ้านกลับที่สระบุรี ซึ่งรถไฟวิ่งผ่านไปลพบุรี แต่ก็ไม่เคยลงไปเที่ยวสักครั้ง แม้ว่ามันเป็นจัดหวัดของตนเองแท้ๆ เรื่องนั่งรถยนต์ก็ไม่ต้องพูดถึงไม่เคยนั่งเลยนอกจากนั่งบนรถบรรทุกจ้าวไปขายที่โรงสีข้าวเท่านั้น เพื่อนฉันคนหนึ่ง พ่อมันซื้อรถจักรยาน ยี่ห้อ ลาเร่ย์สปอร์ ให้ มันเป็นคนแรกในหมู่บ้านที่มีรถขี่ คนเข้าไปรุมล้อมดูมันขี่ ดูยังกับมันเป็นพระเอกหนังไทยเลย หลายๆคนนึกอิจฉามัน ฉันพลอยได้หัดขี่จักรยานมันไปด้วย บ้านเราเป็นบ้าน สะเทินน้ำสะเทินบก ไกลป่าไกลเมือง และไกลจากทะเลมาก ฉันเคยเห็นทะเลเพียงรูปภาพในหนังสือเท่านั้น คนเก่าแก่เขาเรียกหมู่บ้านมะขามเฒ่าเราว่า บ้านปลาเน่า เพราะพอถึงฤดูแล้ง ชาวบ้านจะหาบกระบุงซื้อปลาที่ บ้านแม่น้ำโพซ้าย เพื่อนำมาทำปลาร้า กว่าจะหาบถึงบ้านปลาก็จะเน่าไปก่อน พวกเราอยู่ห่างไกลจากโลกภายนอก ห่างจากความเจริญ ขาดประสบการณ์ทุกๆด้าน
มีอยู่ครั้งหนึ่งที่ฉันยอมรับว่าตัวเองโง่เหลือเกิน ก็คือ ชมภู น้องชายไปเรียนหนังสืออยู่ทีโรงเรียน สุเทพวิทยา บ้านกล้วยนี้เอง ไปพักอยู่กับญาติห่างๆ ที่บ้านทราย แม่บอกให้เอาของไปส่งน้อง เดินตัดทุ่งไป ขากลับ มาขึ้นรถไฟที่สถานี บ้านหมี่ ไปลงหนองทราบขาวแต่ขึ้นรถผิดคน เพราะรถที่เราขึ้นมันไม่จดที่ หนองทรายขาว รถเลยไปจดที่ สถานี โคกกระเทียม ซึ่งเลยจากหนองทรายขาวไป สองสถานี ต้องเดินย้อนกลับตามรางรถไฟจนถึงหนองทรายขาว แล้วก็เดินต่อไปมะขามเฒ่าระยะทางมันมากกว่าเดินตัดทุ่งกลับบ้านจากบ้านทรายถึง สองเท่า น่าอับอายขายหน้าเขามาก เจ็บใจที่เราโง่ เพราะว่าเราขาดประสบการณ์ และมันกันความโง่ของเราจริงๆ
ฉัน มาเข้าใจภายหลังว่า คนเราจะฉลาดนั้น มิใช่แต่ว่าจะอ่านหนังสือ ดูตำรา รู้แต่เรื่องราวในหนังสืออย่างเดียว แต่ ต้องมี ประสบการณ์ด้วย การท่องเที่ยวก็เป็นส่วนหนึ่งของความรู้รอบตัว ฉันอ่าน สามก๊ก รู้ว่า ขงเบ้งนั้น รู้ทุกอย่าง อาณาเขต พื้นที่ ภูมิประเทศ เหตุการณ์ ของบ้านเมือง รู้เขารู้เรา รู้แม้กระทั่งประวัติของตัวบุคคลเป็นใครมาจากไหน จึงฉลาดในการวางแผนการต่างๆ เดาเหตุการณ์ล่วงหน้าได้อย่างแม่นยำ และก็คงเป็นเพราะความยากจนของพ่อฉันนั่นเองที่ท่านต้องพเนจรท่องเที่ยวไปหา ทำงานรับจ้างในที่ต่างพื้นที่ กระมังจึงทำให้ท่านฉลาดทันคน แก้ปัญหาเฉพาะหน้าได้ ตลอดมา แต่พ่อก็เป็นคนฉลาดและเป็นคนทันคน และไม่กลัวใคร ตัวอย่างเช่น ครั้งหนึ่ง เด็กชายเล่ง ลูกชายคนที่สองของน้าทองมี น้องสาวคนสุดท้องของคุณแม่ ไปเลี้ยววัวฝูงอยู่ที่นาโคก ฝนตกฟ้าคะนอง นายเล่ง ขี้ม้าตอนวัวเข้าฝูง ฟ้าผ่าตายทั้งเด็กและม้า ที่นั้นอยู่แถวบ้านสะพานขาว อยู่ไกลจากบ้านมะขามเฒ่า ฝนก็ตกอยู่ตลอดเวลา น้าพ่อคาวีและพวกๆซึ่งมีนาอยู่ไม่ไกลนักมาถึง และเตรียมตัวมาเฝ้าศพตอนเย็นเพื่อรอตำรวจมาพิสูจน์ศพก่อนที่จะย้ายศพเข้า มะขามเฒ่า แต่ต้องรอจนกว่าจะถึงวันรุ่งขึ้น พ่อเป็นคนส่งให้เขาอาเปลมาหามไปที่วัดมะขามเฒ่าทันทีและไม่ต้องรอถึงวันรุ่น ขึ้น พ่อน้าคาวีคัดค้านว่าไปไม่ได้ ต้องรอตำรวจมาชันสูตรศพก่อน พ่อบอกว่า ฝนตก นอนเผ้าเปียกฝนทั้งคืนลำบากคนนอนเฝ้าไม่เอาไม่รอให้เสียเวลาตั้งหามกลับบ้าน น้าพ่อคาวีก็จะไม่ยอม กลัวผิด แต่พ่อจะยอมรับผิดเอง ทุกๆคนก็ทำตามคำพ่อ จึงพากันหามศพเข้าวัดได้ วันรุ่งขึ้นตำรวจก็มา ถามว่าใครเคลื่อนย้ายศพ พ่อก็ให้การกับตำรวจว่า ฟ้าผ่าเด็กแต่ก็ยังไม่ตาย ก็หามมารักษาที่บ้านแต่มันตายกลางทางเสียก่อน ตำรวจก็บันทึกการตามคำให้การของพ่อ เรื่องทุกอย่างก็จบลงอย่างดี นี่ก็ถือว่าพ่อเอาตัวรอดได้ ทำให้ไม่ต้องนอนเปียกฝนเฝ้าศพหลานชายตลอดคืน ฉันจึงเห็นว่าพ่อเป็นคนฉลาด สมกับที่ร่ำลือที่ชาวบ้านว่าพ่อเป็นคนรู้จักกฎหมาย เป็นคนหัวหมอคนมีปัญหาอะไรก็มาปรึกษาพ่อ ท่านไม่กลัวใคร เข้าไปหาใครก็ได้แม้แต่ทางราชการที่ชาวบ้านกลัวกันนักกันหนา พ่อพูดภาษาไทยได้ดีกว่าชาวบ้านด้วย
พ่อเป็นคนรอบครอบและมองทางไกล เช่น ครั้งหนึ่ง พ่อพาฉันและชาวบ้านหลายๆคนไปป่าโดยเหมารถบรรทุกไปตัดไม้ทำไถในป่า รถบรรทุกต้องผ่านสะพานไม้เก่าแก่ เพื่อข้ามแม่น้ำป่าสักที่สูงโงนเงนไปมา ขาไปคนเต็มรถขี่ข้ามสะพานนี้ได้และไม่ค่อยจะน่ากลัวนัก แต่ขากลับรถบรรทุกมีของเต็มรถ มีทั้งไม้และคน ก่อนจะข้ามสะพานพ่อเรียกให้ฉันลงจากรถ ทุกๆคนพากันหัวเราะว่าสองคนพ่อลูกเป็นคนไม้กล้า และกลัวตาย ไม่กล้านั่งรถข้ามสะพาน วันนั้นรถวิ่งผ่านมาได้อย่างปลอดภัย แต่วันหลังได้ข่าวว่า สะพานไม้แห่งนี้ถล่ม คนบาดเจ็บล้มตายไปหลายคน คนที่ไปด้วยกันพอได้ฟังข่าวนี้ต่างก็พากันเสียวไส้กับอุบัติเหตูนี้ไปตามๆกัน นี่คือความเฉลียวใจขอพ่อที่รอบคอบกันไว้ก่อน โดยไม่ประมาด แต่ยามที่พ่อเคราะห์ร้ายเสียค่าโง่ก็มี เช่น ตอนนั้นฉันยังบวชเป็นสามเณร อยู่ พ่อ เป็นพ่อค้าข้าวขนข้าวไปขายท่าเรือ ไปซื้อขาวแถวบ้านญาติทางบ้านกลับ ระยนต์บรรทุกข้าวเสียกลางทาง สตาร์ไม่ติด คนขับรถลงมาแก้เครื่องยนต์ เอากระป๋องใส่น้ำมัน เบนซินมาล่อให้ติด พ่อยืนมอดูเขาล่ออยู่ข้างหลังคนขับ เกิดอุบัติเหตูไฟลุกพรึบขึ้น คนขับรถตกใจ กระชาก กระป๋องน้ำมันเบนซินในมือออก นำมันสานรดหน้าพ่อที่ยืนอยู่ด้านหลังเขา ไฟลุกท่วมหน้า ท่านก็วิ่งออกมา เดชะบุญท่านใช้ผ้าขาวม้าคลุมหน้าแล้วแนบหน้ากับดินไปถึงดับลง หน้าของพ่อดำพอง ผมไหม้หมดทั้งหัว ฉันไปเยี่ยมพี่ที่บ้านกลับ ท่านรักษาตัวอยู่ที่บ้านนาผาลี เห็นหน้าดำของพ่อก็นักสงสารท่าน พ่อรักษาด้วยน้ำมันมาเป็นเดือนกว่าจะหาย ท่านเล่าว่า ก่อนเกิดเหตุร้าย พ่อเดินตัดทุ่งนาไปหาซื้อข้าว มีผึ้งฝูงหนึ่งบินผ่านมันรุมต่อยพ่ออย่างไม่รั้งรอทั้งๆที่เดินมาดีๆ ไม่ได้ทำอะไรมัน พ่อวิ่งหนี มันก็ตามต่อย ท่านเลยให้ผ้าขาวม้าคลุมหัวแล้วหมอบลงกับต้นฟางข้าว มันต่อยท่านหลายตัว แล้วมันก็บินหนีไป ต่อมาอีกไม่นาน ก็เกิดอุบัติเหตูเช่นนี้มา มันเป็นลางบอกเหตุจริงๆ พ่อบอกว่า เคราะห์ดีที่ไม่ตายตอนนั้น จึงถือเสียว่าเราฟาดเคราะห์ทิ้งไป
มีอีกตอนหนึ่งที่พ่อได้รับอุบัติเหตุ เกิดจากการค้าข้าว ก่อนที่ฉันจะบวชสามเณร พ่อนำรถไปซื้อข้าวที่บ้านลุง ดอและครัวทา เอารถถอยเข้าใกล้ยุ้งข้าว ตัวถังรถไปเกาะเอากิ่งต้นฝรั่ง พ่อขึ้นไปยืนท้ายตัวถังรถกระบะ แล้วฟันกิ่งไม้ออก พอฟันกิ่งไม้ขาด กิ่งไม้ต้นฝรั่งที่ใหญ่เท่าแขนดีดมาถูกหน้าอกพ่อจนตกจากท้ายรถทันที ท่านลุกโงนเงนขึ้นมา จุกจนพูดไม่ออก ท่านใช้แขนศอกข้างหนึ่งยกกำแล้วขยับขึ้นขยับลง เสียงผู้หญิงคนหนึ่งร้องขึ้นมา บอกว่า เร็วๆ ท่านกำลังจุก อุ้มขึ้นแล้วเขย่าหลายๆครั้งเร็วๆ น้ำทิดสายน้องแม่อยู่นั่นพอดี ก็ทำตามที่แนะนำของผู้หญิงคนนั้น หลังจากนั้นก็ให้ไปซื้อเป็ดมา ปาดคอเอาเลือดเป็ดให้พ่อดื่ม เพื่อแก้ช้ำใน แน่ละฉันจดจำเหตุการณ์สำคัญๆในอดีตได้ไม่ลืม
ต่อมาครบครัวของเราก็เพิ่มสมาชิกขึ้นมาอีก เป็นน้องชายหนึ่งคน หญิงอีก หนึ่งคน คือ มนตรี กับ นารี การมีน้องๆหลายคนก็อบอุ่นดี เมื่อมารวมกันนั่งกินข้าวที่นอกชานเป็นวงใหญ่ จึงเป็นที่รอเรียนของเพื่อนฝูงว่าครอบครัวมีลูกมาก ทำให้ฉันเกลียด ผู้หญิงคนหนึ่งซึ่งเป็นเด็กรุ่นพี่ฉัน แต่ฉันก็เรียงเธอไม่ค่อยได้ เพราะเธอมาคอยรอฉันกินข้าว เมื่อเธอจะให้ฉันไปเป็นเพื่อน เพื่อเล่นงานทอดผ้าป่าที่คนต่างบ้านเอามาถวายวัด มันเดินนับน้องๆฉันทั้งพ่อแม่ แล้วยืนค้ำหัวนับจำนวนคนว่ามีกี่คน ฉันเขม่นมัน ก็อิ่มข้าวทันทีแล้วก็บอกไล่มันไปก่อน มันคงคิดว่ามีน้องน้อยคนคงจะไม่มีใครแย่งแบ่งเอาสมบัติแม่มันกระมัง มาตอนนี้เป็นอย่างไร ก็วัดดูเอาเอง มันมีทั้งหมดสามคน เป็นหญิงทั้งหมด ไปอยู่ไกลคนหนึ่ง ก็หว้าเหว่าเดียวดาย มีสมบัติแม่ก็ไม่พอแบ่งกันด้วยซ้ำไป ฉันยังจำมันได้จนเข้ากระดูกดำ
คนลาวพวนอย่างพวกเราส่วนใหญ่มีนิสัย ห่วงสมบัติขอพ่อแม่ ตามคำพูดชาวพวนว่า (ห่วงมูลเก่า) หากมีพี่น้องหลายๆคนก็กลัวจะเสียส่วนแบ่ง จึงนิยมมีลูกน้อยๆคน มีน้ำใจคับแคบ เมื่อไปเที่ยวจีบสาวที่พ่อแม่มีฐานะดี บางทีแม่หรือญาติของสาว ถามเสมอว่า มีพีน้องกี่คน เวลาหนุ่มไปขอสาวแต่งงานก็เช่นกัน พ่อแม่สาวจะต้องถามว่า มีนาอยู่กี่ไร่ มีพี่น้องกี่คน ส่วนทางฝ่ายชายก่อนจะไปขอสาวให้ลูกชายก็จะต้องสืบไว้ ถ้าเป็นลูกสาวคนเดียว หรือมีพี่น้องกันกี่คน และมีไร่นาทำกันหรือเปล่า มันก็วนเวียนกันอยู่กับสมบัติ เพราะหวังจะเอาสมบัติของคนอื่นเขา ต้องการรวยทางลัด มักง่ายใจคับแคบ กลัวเหนื่อยกลัวจน จะสร้างฐานะของตนเองก็กลัวความลำบากยากจน ยอมทุกอย่าง ถึงแม้ว่าจะกินน้ำใต้ศอกของ พ่อตาแม่ยายเพื่อว่าจะได้สบายๆ ไม่ต้องออกแรงสร้างฐานะด้วยลำแข้งของตัวเอง คนจำพวกนี้ เห็นมาหลายคนแล้ว ว่าตอนปลายของชีวิตกินสมบัติหมดต้องลำบากมากเพราะไม่เคยทำอะไรมาก่อนเพื่อหาเลี้ยงชีพด้วยตัวเอง มันผิดกับครอบครัวเรา ฉันมีน้องๆหลายๆคน ต่างคนต่างก็สร้างฐานะด้วยตัวเองจนเป็นปึกแผ่น แถมยังมีการช่วยเหลือกันอย่างดีจนชาวบ้านเขาชมว่า พี่น้องของพวกเธอดูแลกันดีไม่ทอนทิ้งกัน เอาตัวรอดได้ทุกคน นับว่าเป็นความภูมิใจของพวกเรามากทีเดียว .... คุณน้าเซี้ยมน้องสาวของคุณแม่ แกมีลูกหลายคน แต่ก่อนนี้ใครๆก็ดูถูกว่ามีลูกมาก แย่งกันกิน แย่งกันอยู่ พ่อแม่จะต้องลำบากตลอดไป พอลูกของท่านโตขึ้น ต่างคนต่างก็สร้างฐานะขึ้นมา เป็นตำรวจบ้าง เป็นศึกษาธิการบ้าง และแม้แต่ลูกๆที่เป็นคนทำงานที่โรงงาน เกิบเงินได้ดี มีบ้าน มีรถ มีตึก มีเงินทองมาดูแลแม่ พาแม่ไปรักษา พาแม่ไปท่องเที่ยว ไปทำบุญ หาอาหารการกินมาให้แม่กินเหลือเฟื่อ....พ่อ แม่ของคนที่เคยรวยมากก่อน บางคนถูกลูกๆทอดทิ้งให้อยู่เดียวดาย มีลูกน้อยคน บ้างก็เกี่ยงกันมาดูแลพ่อแม่ ไม่สมกับที่ตัวเองเคยรวยมาก่อนเลย ตัวอย่างเช่นน้าทิศทิม น้องชายของคุณแม่อีกคน ท่านมีลูกอยู่แค่สองคน โตขึ้นลูกชายก็ไปทำมาหากินและอยู่คนละฟากของประเทศ นานๆ ถึงจะมาเยี่ยมพ่อแม่สักครั้ง ผลสุดท้ายไปทำมาหากินอยู่กับพวกขุนสา นายโจนใหญ่ค้าฝิ่นที่ชายแดนพม่า จนกระทั้งพ่อตายถึงได้มีโอกาสได้มาเผาศพพ่อ แล้วก็กลับไป พอถึงงานร้อยวันของพ่อก็กลับมาอีกโดยเอามาเลเลียกลับมาด้วย พอทำบุญเสร็จตกตอนบ่าย ตัวเองก็ตายที่โรงพยาบาลบ้านหมี่นี่เอง ตายตามพ่อไปอีกเพราะโรคร้าย คงเหลือแต่พี่สาวคนเดียวของเขาที่ชื่อว่า วิทวนที่อยู่ดูแลรักษาแม่ที่อยู่อย่างหว้าเหว่เดียวดาย วิทวนพาแม่ไปอยู่ด้วยที่บ้านและต้องขายบ้านพ่อแม่ไปด้วย เธอเคยพูดกับฉันว่า ลุงหนูนึกอิจฉาบ้านแม่ป้า (แม่ของฉัน) ที่มีลูกๆหลานๆคนที่ช่วยเหลือสามัคคีกันดี และไม่มีครอบครัวใครจะรักและกลมเกลียวกันมากเหมือนกับครอบครัวของลุงเลย นับว่าเป็นคำชมจากลูกสาวของน้าทิดทิม และอีกหลายๆคนในหมู่บ้าน
พ่อย้ายชมภูออกจากโรงเรียนสุเทพ ไปเรียนต่อที่โรงเรียนโคกกระเทียม ไปพักอาศัยอยู่กับ บ้านทหาร เป็นนายสิบ คนบ้านสำโรง เป็นญาติของตาบุญเหลือเพื่อนบ้านเรา มีนักเรียนไปเรียนที่นั่นอยู่สามคน คือ นายเชิด เพื่อนบ้าน และน้องชายทั้งสองของฉันคือ ชมภูและไพยนต์ แต่ไพยนต์ไปเรียน ม 1 อยู่แค่ 3 เดือนกับมาเที่ยวบ้านพอถึงเวลากลับไปเรียนหาไม่พบ เพราะไปแอบซ่อนตัวอยู่แถวต้นไผ่ที่ ส้วมแม่ถวิลเพื่อนบ้าน พอนายเชิดและพี่ชายกลับไปแล้วถึงออกมาปรากฏตัวให้เห็น แม่บอกว่าเด็กไปนอนที่เหล้าไก่และเหม็นขี่ไก่ทั้งคืน...ผลสุดท้ายไพยนต์ขออาสาอยู่ที่บ้าน เลี้ยงควาย ทำนากับพ่อแม่
ตอนนั้นฉันโตขึ้นมากแล้ว และกลายเป็นหัวเรียวหัวแรงในการทำนา มีลูกจ้างสองคน คือ เจ้ารัช กับเจ้าสี พ่อเลิกทำนาหนองนาดี แต่พาไปทำนาคูขาด ปีนั้น นาคูขาดได้ข้างหกร้อยถัง ข้าวนานายเชื้อก็ได้เต็มยุ้ง ปีนั้นหลังจากจ่ายค่าเช่านาและลูกจ้างแล้ว แม่ฝากเงินผู้ใหญ่บ้านที่ชื่อว่า สง่า เพื่อซื่อทองร้านเจ็กสานให้ฉันสองบาท เพื่อชดเชยทองที่ถูกเจ้าทอง   ขโมยไป ราคาทองตอนนั้น สองบาท ก็ แปดร้อยบาทเศษ เท่านั้นเอง
อายุได้ 17 ปีเป็นหนุ่มวัยรุ่น มีคู่รักหลายคน ที่บ้านทรายบ้าง ที่บ้านสระเตยบ้าง ที่บ้านพรมทิน และที่บ้านมะขามเฒ่าเองก็มี เขียนจดหมายถึงสาวๆ เธอตอบมากันทุกๆคน ฉันชอบอ่านหนังสืออยู่แล้วโดยเฉพาะ เพลินจิตร ฉันจึงมีสำนวนนักประพันธ์ เพื่อแต่งกลอนจีบสาว จนพวกสาวหนุ่มที่สนิทสนมกัน มันเอาของมาฝากให้ฉันทั้งของกินของใช้ เพื่อขอร้องให้ฉันแต่งกลอนจีบสาว จีบบ่าวให้เขา เพื่อจะได้นำเอาไปรอกส่งไปให้แฟนอยู่เสมอมา ทั้งบุหรี่ หรือขนม ได้รับมาเป็นค่าเขียนประจำ แฟนเพื่อนฉันคนหนึ่งตอนนี้ได้เป็นถึง ด็อกเตอร์แล้ว เขาเป็นอาจารย์สอนนายแพทย์ มันเขียนจดหมายถึงสาวคนรักของมัน คนรักของมันเอามาให้ฉันตอบให้ทุกๆฉบับ สำนวนจดหมายที่ฉันเขียนให้แฟนเขานั้น ทำให้อาจารย์คนนี้หลงไหวมาก ในที่สุดมันจับได้ว่าไม่ได้เขียนเอง มันเลยเกลียดทั้งแฟนและฉันด้วย
เรื่อง วาทศิลป์ในการพูดในหมู่พวกฉัน ฉันจะคบกับรุ่นพี่ๆเป็นส่วนมาก มีเพื่อนรุ่นเดียวกับฉันนั้นน้อยมาก แม้แต่รุ่นพี่ๆยังยอมรับว่าถึงแม้ฉันจะเป็นเด็กกว่าแต่เป็นคนมีเหตุผลมาก เขาจึงยอมลดตัวมาครบกับเด็กรุ่นน้องๆได้ ซึ่งทำให้ฉันภูมิใจในตัวเองมาก แม้แต่ผู้ใหญ่ยังยอมรับฟังเหตุผลของฉันเช่นกัน.... ตัวอย่างเช่น ครั้งหนึ่ง พ่อฉันกับทิดทาลูกเขยท่าน (สามีของสมพัฒน์น้องสาวฉัน) พากันไปตามควาย เพราะควายตัวที่เอามาแต่งงานน้องสาวฉันหายไป มันอาจจะพัดหลงไปกับฝูงควายบ้านสระเตยนั้นแหละ คนที่บ้านสระเตย ตากาย กับตาถ่าย เห็นควายจับมันไว้ เพราะไม่รู้ว่าเป็นควายของใครหลงมา โดยนำไปผูกไว้ในคอกของตากายเอง พ่อกับทิดทาตามไปพบ ทั้งพ่อและลูกเขยจะแจ้งจับเขาเพราะกักควายเอาไว้ และหาว่า ตอนค่ำมาเขาก็จะเอาไปฆ่ากิน ถึงจะไปแจ้งผู้ใหญ่บ้านมาจับ ฉันตามไปถึงพอดี ฉันจึง พยายามพูดไกล่เกลี่ย และก็พยายามพูดให้พ่อเข้าใจว่า พวกเขาจับมันไว้ก็หวังให้เจ้าของมารับเอา ส่วนเราก็ไปซื้อเหล้ามากินกันเขาสักสองขวดเพื่อไถ่เอาเท่านั้นก็หมดเรื่อง แต่ทางพ่อกับทิดทาบอกว่าจับความแล้วทำไมไม่ไปแจ้งผู้ใหญ่บ้านไว้... พวกเขาก็อ้างยังไม่ทันได้แจ้ง ฉันจึงพูดว่า...ถ้าเขาคิดจะเอาควายไปฆ่ากินแล้ว เขาจะอามาผูกไว้ที่บ้านให้คนอื่นเขาเห็นทำไม ทำไมเขาไม่อาไปซ่อนไว้ที่อื่นก่อน... ตากายคนทำแป้งขายแก่เข้ามาขอบคุณฉัน ว่าฉันพูดดีมีเหตุผลจริงๆ ขอนับถือ แต่คิดว่าพ่อคงไม่เต็มใจเท่าไหร่หรอกคงเป็นเพราะลูกเขยยุท่านก็เป็นไปได้ เพราะรู้นิสัยของทิดทา แกคงจะไม่อยากจะเสียเงินค่าไถ่ควาย จึงคิดจะหาเรื่องขึ้นมาไม่คิดหน้าคิดหลังกระมัง ในสมัยนั้น ใครจับควายต่างบ้านได้ เขาก็จะคืนให้แล้วขอเหล้าขอไก่มาแกงกินกันเท่านั้นเอง... ผลสุดท้ายวันนั้นต่างคนต่างซื้อเหล้าซื้อไก่กันคนละครึ่ง กินเลี้ยง มีทั้งผู้ใหญ่ผัน ผู้ใหญ่บ้านที่นั่นซึ่งเป็นเพื่อนถูกคอกับพ่อมากินด้วยกันเพราะแก่มาอยู่ที่นั้นตั้งแต่ต้นแล้ว เรื่องนี้เกิดขึ้นหลังจากที่ฉันออกจากบ้านมีครอบครัวและไปตั้งตัวแล้ว
ชีวิตหนุ่มลูกทุ่งของฉันตอนนั้น ฉันถึงนึกได้และเสียตายอนาคตของตัวเองก็ต่อเมื่อ เวลาทำงาน ทำนาหนักๆ แดดก็ร้อน มาคิดแล้วเกิดนึกน้อยใจในวาสนาของตนเองที่เรามีใจรักดี แต่ไม่เอาถ่าน พ่อส่งไปเรียนหนังสือ มีโอกาสมากกว่าหลายๆคนในหมู่บ้าน ซึ่งน้อยคนในรุ่นฉันไปเรียนต่อ จนจบชั้นมัธยมศึกษาต้น แต่ก็ต่อมัธยมศึกษาตอนปลาย กลับมาเที่ยวบ้านมันโก๋เก่เบ่งตัว พวกสาวๆ ก็ชอบคุยกับพวกนั้นมากเราด้วยซ้ำ มิหนำซ้ำ ยังมีพวกนักเรียนนายสิบเข้ามาเที่ยวในหมู่บ้าน พ่อแม่ของสาวๆ ก็ชอบนิยมชมชื่นเสียจริงๆ และพร้อมที่จะยกลูกสาวให้ด้วยซ้ำไป จึงทำให้หนุ่มลูกทุ่งอย่างพวกเรามีปมด้อย เกรดตกไปตามๆกัน ฉันฝันอยากจะเรียนลัด แต่ก็ไม่รู้ว่าจะไปเรียนที่ไหน เพราะเราอยู่ไกลจากความเจริญมาก ฉันได้แต่อ่านหนังสือมากขึ้น ตอนกลางคืนใช้ตะเกียง น้ำมันก๊าดกระป๋องจนน้ำมันหมดไปปีละสองสามปิย จนแม่กับสมพัฒน์ น้องสาวซ่อนน้ำมัน และบ่นว่าใช้น้ำมันเปลืองมาก หนังสือที ฉันอ่านก็คือ หนังสือเก่าๆของน้องชายที่เขาเรียนแล้ว พอขึ้นชั้นใหม่แล้วก็เอาหนังสือเก่ามาไว้ที่บ้าน ฉันก็ถือโอกาสอ่านหนังสือเก่าตามน้องไปทุกเล่ม ฉันอ่านประวัติของเจมสวัตร์  เรื่องเครื่องจักรไอน้ำ ก็อยากเป็นนักวิทยาสาสตร์ ก็หากระป๋องมาทดลองใส่น้ำต้ม ใช้ไม้รวกกระบอกเล็กๆทำเป็นกระบอกสูบ ใช้ลวดเป็นก้านสูบ ตัดหนังรองหนังสติ๊ก ให้กลมทำเป็นลูกสูบใช้ดินปั้นทำเป็นล้อให้หมุน ทดลองต้มน้ำจนเดือด กับนายสะอาดลูกชายน้าคาวี พอน้ำเดือดล้นลูกสูบออกมา การทดลองก็ล้มเหลวลง... ต่อมาก็ฉันก็ฝันอยากจะเก่งภาษาอังกฤษจะได้พูดกับพวกฝรั่งได้เพื่อโชว์ให้ใครๆชมว่าเราเก่งภาษาต่างประเทศ ....มันเป็นเพียงความฝันของฉันเท่านั้น แต่บังเอิญความฝันของฉันมันเป็นจริงแต่ไม่ได้เกิดขึ้นกับตัวฉันเอง มันมาเกิดขึ้นสืบเนื่องมายังน้องชายและลูกชายของฉันเอง มันเป็นที่เหลือเชื่อมากที่ความฝันของคนหนึ่งในสายเลือดเดียวกันจะตกทอดเป็นมรดกมาสู่กันได้ในระยะต่อมา
มีครั้งหนึ่งที่ฉันทำให้แม่ไม่พอใจ เราไปเที่ยวงานประจำปีบ้านหนองทรายขาว ไปกับนายเสนาะ ลูกป้าแจ่ม และพรรคพวกหลายคน นำเอาตะเกียงเจ้าพายุไป เดินทางกลางคืนตัดทุ่งไป ตอนกลับบ้านไม่ยอมกลับ ชวนนายเสนาะไปกรุงเทพฯ ฉันนำเอาตะเกียงเจ้าพายุขอพ่อไปจำนำยืมเงินจาก กรรมกรโรงสีที่หนองทรายขาวซึ่งเป็นเพื่อนรุ่นพี่ที่รู้จักกันดี ได้เงินไปหนึ่งร้อยบาทฉันคิดจะไปบ้านพี่เพ็ญศรี เพื่อไปเรียนพิมพ์ดีดและชวเลข บ้านของพี่เพ็ญศรีอยู่ที่เชิงสะพานพุธด้านฝั่งธนบุรี เราตามไปหาบ้านจนพบ มันเป็นห้องแถวเก่าๆ มีสมาชิกครอบครัวเขาอยู่รวมกันหลายครอบครัว ในตอนนั้น พี่เพ็ญศรี อยู่กับสามีคนที่สองเป็นเชื้อจีน ชื่อว่าพี่เทียม แกพูดไทยได้ชัดเจน คืนนั้นที่เทียมพาพวกเรามานอนที่แพท่าน้ำเจ้าพระยา เรานอนกับเพื่อนบ้านคนจีนหลายๆครอบครัว มียุงชุกมากมาย ตบยุงกันทั้งคืน ไม่เหมือนที่บ้านเราเลย นอนนอกชานทั้งคืนก็ยังไม่มียุงกัด พวกนี้เขาอยู่กันได้อย่างไรนะ เขาต้องออกมานอนกันทุกๆคืน เพราะห้องแถวของพวกเขาคับแคบ อยู่กันหลายคน จึงต้องมาอาศัยแพข้างแม่น้ำนอน ความฝันที่จะมาอยู่กับเขาเพื่อเรียนนั้นคงเป็นไปไม่ได้แล้ว วันรุ่งขึ้นตอนเย็น พี่เพ็ญศรีกับสามีก็ไปขายหมูสะเต๊ะที่สนามหลวง เพราะเป็นฤดูชมว่าว ที่สนามหลวงมีคนมากมาย เนื้อหมูสะเต๊ะจึงขายดีมาก คืนนั้นน้องชายพี่เทียมชื่อว่า ตี๋เล็กเขาปล่อยให้เมียขายเนื้อสะเต๊ะตามลำพังแล้วมาชวนพวกเรานั่งรถสามล้อว่าจะพาไปเที่ยว จ้างสามล้อ สองคัน ฉันกับนายเสนาะนั่งด้วยกันคันหนึ่ง ตี๋เล็กนั่งอีกคันหนึ่ง เขานั่งรถออกหน้านำพวกเราไปที่โรงฝิ่นจำไม่ได้ว่าเป็นที่ไหน พอไปถึงก็ไปเรียกชายคนหนึ่งออกมา พอชายคนนั้นเปิดประตูออกมายืนอยู่ ยังไม่ทันได้พูดอะไร จู่ๆ คนขับสามล้อคนที่เจ้าตี๋เล็กนั่งมาก็กากเข้าไปตบหน้าเขาดังฉาด พวกฉันตกตลึงยังไม่ทันลงจากรถด้วยซ้ำไป เสียงไอ้ย่า ไอ้ย่า... ก็ดังขึ้น คนขับสามล้อจะเข้าไปตบอีกครั้ง เจ้าตี๋เล็กก็เข้าไปยึดข้อมือเอาไว้ แล้วบอกว่าผิดตัวแล้ว พี่ผิดตัว สามล้อก็กับมาฉุนเอ็ดตะโรใส่เจ้าตี๋เล็กทันที ในที่สุดก็ไกล่เกลี่ยกันเป็นความผิดที่เจ้าตี๋เล็กชี้ตัวคนผิด... ในที่สุดมันต้องเลี้ยงเหล้าคนขับสามล้อพร้อมทั้งหมูสะเต๊ะของเมียมันหมดไปเป็นกิโล ฉันกับนายเสนาะเกือบจะถูกตำรวจจับเข้าคุกในข้อหาว่าอันธพาลและทำร้ายคน นายตี๋เล็กคงเห็นเรามาจากบ้านนอกมีร่างกายกำยำแข็งแรงจึงคิดจะพาให้ไปช่วยทำร้ายคน เพื่อแก้แค้นให้เจ็กกินฝิ่น นั่นเอง แต่บังเอิญคนขับสามล้อของนาย ตี๋เล็กเป็นนักเลงอันธพาลมาจรึงรับอาสาจัดการแทนพวกเราเสียงเอง พี่เพ็ญศรีเล่าว่าน้องเขยเขาคนนี้ มันใช้เมียขายของ และมันไถเงินเมียอย่างเดียว มันชอบเต่ะตีเมียมัน และคบแต่พวกอันธพาลทำให้เดือดร้อยอยู่เสมอ
วันต่อมาฉันก็กลับบ้านกับนายเสนาะอย่างหมดหวัง ไปยืมเงินน้าทิดทิมไปไถ่เอาตะเกีย
เจ้าพายุคืนหนึ่งร้อยบาท น้าทิดทิมก็แสนดีมีเงินเดือนภารโรงแค่สามร้อยห้าสิบบาทเท่านั้น ยังอุตส่าห์ให้ฉันยืมเงินได้ ต่อมาอีกปีกว่า ฉันก็สร้างความลำบากใจให้พ่อแม่อีก ตนนี้ฉันคิดว่าแม่อาจจะเกียดแน่ๆด้วยซ้ำไป เพราะความอยากรวยของฉัน ปีนั้นราคาข้าวเหนียวฤดูกลางปี หน้าน้ำ ราคามันสูงถึงถังละ สิบบาท พอถึงฤดูเก็บเกี่ยวข้าวออกใหม่ข้าวราคาถังละ 5 บาท ฉันแอบเอาทองไปจำนำไว้กับเจ็กสานที่บ้านหมี่ ได้เงินมาสี่ร้อยบาท เอามาซื้อข้าวเหนียวไว้ คิดว่าจะเอาไว้ขายหน้าน้ำกลางปีเพื่อเอากำไร ซื้อไว้ 80 ถังฝากยุ้งเขาไว้ ปิดบังแม่ไว้เป็นอย่างดี  แต่แม่ก็มารู้จนได้ และก็โกรธฉันมาก แม่ให้เงินพ่อไปไถ่ทองคืนมาจากเจ็กสาน ฉันเห็นว่าทำให้แม่โกรธจึงเอาข้าวที่ซื่อมาไปขายให้เจ็กหง่าในราคาเท่าทุนได้เงินมาเอาไปคืนแม่ แม่ไม่ให้ฉ้นใส่ทองเส้นนั้นมาหลายเดือน... ปีนั้น พอถึงหน้าน้ำ กลางปี ปรากฏ ว่าราคาข้าวเหนียวไม่ขึ้นไม่ลง ราคาห้าบาทเหมือนเดิม ถึงกักไว้ขายก็คงเสียเวลาเปล่าๆ ไม่มีกำไรดังที่คิดหวังเอาไว้เลย ฉันจึงคิดผิดไปจริงๆ แต่มันก็กลายเป็นบทเรียนที่ดีต่อฉันที่นำมาปรับปรุงในชีวิตฉันให้เป็นคนที่รอบคอบขึ้นในเวลาต่อมา
ถึง เวลาฤดูการทำนา ฉันก็ขยันขันแข็ง ฝนก็ตกสม่ำเสมอ ข้าวก็งามดีทั้งสามนา นาบ้านแม่ใส่ข้าวเหนียวทั้งหมด นานายเชื้อที่เช่าไว้ทำเสร็จแล้วก็ขึ้นไปทำนาคูขาด และที่นาผืนนี้นี่เองฉันรู้จักกับฉลาดเด็กบ้านเรามากขึ้น เธอไว้ผมยาวถักเปีย เธอทำนากับน้องสองคน ส่วนพี่ชายของเธอถูกเกรณทหาร เธอเป็นคนขยั้น และต้องหัวหน้างาน พาน้องทำนาเลี้ยงดูแม่ ฐานะข่อนข้างยากจน ที่จริงแล้ว ฉลาดเป็นคนมีตระกูลเป็นผู้ดีตกยาก ลำบากเพราะต่อตายตั้งแต่อายุเธอได้ประมาณ สิบขวบ อยู่กับพวกพี่ๆ ผู้หญิงหลายๆคน แต่มีผู้ชายแค่สองคน คนโตเป็นหัวหน้าครอบครัว พาน้องๆ ทำนา สืบทอดต่อมาจากพ่อ ซึ่งมีที่นาเป็นของตัวเอง เป็นมรดกที่พ่อทิ้งไว้ให้ทำกิน แทนที่จะพาน้องทำนาหากินตามสภาพของชาวบ้านเรา เพราะในน้ำมีปลา ในนามีข้าว นาก็ไม่ต้องเช่าเขาทำ ข้าวก็ไม่ต้องซื้อกิน ควายก็มีเต็มคอก แรงงานก็ได้จากพวกน้องๆ หลายคน แต่พี่ชายคนโตของฉลาดคิดใหญ่ใฝ่สูง ริเป็นพ่อค้าข้าว พ่อค้าขายเสาเรือน เอาที่ดินผืนนี้ไปจำนองกำนันกวี นายทุนไว้ ในที่สุดที่ก็หลุดมือ ตกไปเป็นของนายทุน ต้องเช่านาเขาทำกินต่อมา ควายเต็มคอกก็ขายไปใช้หนี้ก็ยังไม่พอ ในที่สุดก็ตัดช่องน้อยแยกเรือนออกไป ปล่อยให้น้องชายและน้องสาวอีกสองคนรับกรรมจากผลของการกระทำของตนเอง นายเฉลียวน้องชายอีกคนหนึ่ง ตั้งชื่อให้พี่ชายคนนี้ว่า เจ้าวาย เพราะแกชื่อสวาย เจ้างาย แปลว่า วอดวาย...
ในปีนี้นาก็ได้ผลผลิตดี ราคาข้าวก็ดีขึ้น พ่อแม่ขายข้าวแล้ว แม่ก็ให้ผู้ใหญ่สง่าไปซื้อแหวนทองคำ เป็นตรา สัญญาลักษณ์ประจำของแต่ละคน มาให้ฉันอีกหนึ่งวง มันหนัก หนึ่งบาท ทั้งๆที่ไม่ได้ขอท่านเลย ฉันนึกว่า แม่จะโกรธฉันดัดสันดานฉันเสียอีก ฉันคิดว่าแม่คงเห่อลูกชายนั่นแหละ สังเกตดูแม่จะหาเสื้อสวยๆคอกลมสีชมภู พร้อมกับโสร่งไหมแท้ที่พวกชาวอีสานเอามาขาย แม่ซื้อให้แล้วก็ให้ใส่สร้อย แหวนไปงาน พ่อก็เหมือนกัน ดูเหมือนท่านจะลอบมองฉันอยู่เสมอ เมื่อไปเที่ยวงานบุญในวัด หรือที่ต่างๆ อันที่จริงแล้ว ตัวฉันเองไม่ค่อยเห่อทองเท่าไรหรอก เรื่องทองมันรักษายากกลัวไปเที่ยวงานนอนหลับกลัวหาย กลัวถูกขโมยถอดเอาเวลาเผลอหลับ ตัวฉันแต่ก่อนเป็นคนนอนอึดมาก ไม่รู้สึกตัวตื่นง่ายๆ อย่างคนอื่นเขา ไปเที่ยวงานนอนค้างคืนบางทีปลดออกฝากญาติผู้ใหญ่เอาไว้เพื่อความปรอดภัย แต่ ฉันเห่อเสื้อผ้าเช่น กางเกงยีน เสื้อลายตาหมากรุก รองเท้าขัดมัน นาฬิกาข้อมือมากกว่า อยากได้จักรยาน อยากไว้ผมจอนยางแบบพระเอกหนัง ซึ่งแม่ไม่ชอบ แม่ชอบให้ฉันตัดผมทรงเป๋ ผีมือน้าแม่คาวี ชอบให้นุ่งกางเกงขาก๊วย ใช้ผ้าตราหลวงเก่าอย่างดี กางเกงแพร หรือโสร่งไหม แต่ยังไม่เคยใส่กางเกงยีนเลย รองเท้าขัดมันก็เพิ่งเคยใส่ตอนแก่ๆนี้ เพราะลูกชายซื้อให้ตอนไปรับปริญญาของลูกนี่เอง
เพื่อนฉันคนหนึ่งชื่อว่า เจ้าแกลบ เจ้านี่มันทั้งหน้าด้านหน้าทน มันเป็นลูกคนรวย แต่ก็มีพี่สาวคนโตคอบคุมกิจการในบ้านไว้หมด เขาได้เปรียบพวกเราเมื่อไปเที่ยวสาวต่างบ้าน เพราะชื่อเสียงของพ่อเขามันรวย พ่อแม่ของสาวๆ ก็ชอบต้อนรับลูกคนรวย แต่มันไม่มีทองใส่เหมือนฉัน พอเดินทางไปใกล้หมู่บ้าน เจ้าแกลบก็จะมาขอยืมทองฉันมาทดลองใส่ดูพอได้ใส่สร้อยทองแล้ว ก็ถือโอกาสใส่ไปเลยตามทวงคืนมันก็ขอยืมใส่ก่อน เพื่ออวดพวกสาวๆว่าพ่อมัน รวย แต่ข้างในมันโพรงแม้แต่เงินเที่ยว ซื้อบุหรี่สูบ ยังยอยืมเพื่อนๆที่ไปด้วยกัน บุหรี่ในกระเป๋าของเพื่อนมันก็จะถือวิสาสะควักเอามาจากกระเป๋าเพื่อนๆมาจุดสูบอย่างหน้าตาเฉย แม้แต่เงินในกระเป๋าเพื่อนมันยังเคยควักเอา อ้างว่ายืมก่อน แล้วก็ไม่ยอมใช้คืน ฉันตั้งชื่อมันว่า ไอ้ขี้เกลบ เพราะมันเป็นแกลบที่ไม่มีราคาเพราะไม่มีข้าวสารติดค้างจริงๆ ไปเที่ยวกลับมาบ้านแล้วยังตามมากินข้าวที่บ้านฉัน แถมนอนค้างที่บ้านอีก กินข้าวอิ่มแล้ว ยังพูดให้เจ็บใจอีกว่า

บ้านโตกินแต่ข้าวกับปลาแดก (ปลาล้ามันคงไม่รู้ว่าเพราะปากไม่ดีของมันนี่แหละ ที่น้องสาวฉันจึงนำของดีๆไปซ่อนไว้ ปล่อยให้มันกินแต่ปลาล้านั้นเอง เจ้าหมอนี่เป็นเพื่อนรักหักเหลี่ยมโหดของฉันจริงๆ ตั้งแต่หนุ่ม จนกระทั่งแกตายจากกัน ความร้ายกาจของมันมีมากกว่านี้ เช่นเอาชื่อฉันไปค้างเหล้าร้านค้า แล้วก็ให้เขามาตามทวงเอาเงินที่ฉันบ่อยๆ




สรุปครอบครัวฉัน
พ่อแม่ของฉันเป็นชาวนาที่เช่านาเขาทำมาหากินส่วนหนึ่ง ฉันมีพี่น้องรวมทั้งตัวฉันด้วยรวมเป็นแปดคน ไม่นับคนรกที่เป็นพี่สาวฉันที่ตายไปตั้งแต่ก่อนฉันเกิดหนึ่งคน เราต่างก็ปากกันตีนถีบ ยากลำบากกันมาทุกคน น้องสาวคนแรกที่ถัดจากตัวฉันสมพัฒน์ เธอเป็นคนซื่อ แต่นิสัยข้อนข้างจะกะเหลอกะหลาไปนิด แต่งงานแล้วมีสามีชื่อว่า ทา เป็นคนที่มีรูปร่างใหญ่โตกำยำแข็งแรง แต่จะฉลาดแกมโกงไปสักนิด ชอบใสมอง ชอบกินแรงเมีย ไม่ชอบให้แรงงานตนเองแต่ก็รักครอบครัวดี มีอะไรก็จะโกยให้ครอบครัวตนอยู่เสมอ เรื่องรักลูกรักเมียนี้ ถือว่าสอบผ่าน  ภายหลังมาเกิดอุบัติเหตูตกกองฟางขาหักทำงานหนักไม่ได้ ต้องเลิกทำนาหากินทางต้มเหล้าเถื่อนขาย หาซ๊อดปลา หว่านแห่หาปลามาขายเลี้ยงลูกๆ ช่วงนี้ลำบากมาก เพราะมีลูกหลายคนกำลังเรียนหนังสือ วันใดไม่มีเงินให้ลูกไปโรงเรียนก็มาขอยืมกับพี่สะใภ้ ก็ให้ไปก่อน หนักเข้าท่าจะหาเงินไม่ทัน ก็จำเป็นต้องขายนาส่วนแบ่งที่รับมาจาการดกขอพ่อแม่ให้กับน้องสาวน้องเขย ตัวเองก็รับจ้างเกี่ยวข้าวดำนา เลี้ยงดูลูกๆ ตอนหลังมาปรึกษาว่าจะเอาลูกชายบางคนออกโรงเรียนมาเลี้ยงวัวฝูงใหญ่ให้ลุง พี่ชายของสามี ฉันเห็นท่าจะไม่ดีจึงหันไปพึ่งน้องชายอีกคนหนึ่งที่อยู่ในประเทศฝรั่งเศสมาแก้ปัญหาให้ ขอร้องให้มาช่วยพวกหลานๆ ส่งหลานๆเรียนต่อมิฉะนั้นก็อาจจะต้องกลายไปเป็นลูกจ้างเลี้ยววัวให้ลุง นายมนตรีน้องชายก็เห็นด้วยตัดสินใจส่งเงินส่วนตัวมาช่วยพวกหลานๆ ในเวลาต่อมา พวกเขาก็เรียนจบ เข้าทำงานเป็นช่างสีรถยนต์ หลายคนรับราชการ จบ ปวส ปริญญาตรี เกือบทุกคน คนสุดท้องเป็นหญิง มนตรีส่งไปเรียนฝรั่งเศสหลังจากจบปริญญาตรีแล้ว เป็นเวลาหนึ่งปี ขณะนี้แต่งงานกับชาวเยอรัน มีลูกสาวสองคนอยู่ที่ต่างประเทศ ตอนนี้ สมพัฒน์ที่กะเหลอกระหลา น้องสาวฉันคนนี้ ก็พอจะสบาย ลืมตาอ้าปากได้แล้ว เพราะมีลูกๆช่วยกันดูแลกันอย่างดี

น้องชายคนถัดคนที่สามชื่อว่า ชมภู โชคดีหน่อยที่ได้เรียนหนังสือได้เป็นตำรวจกองปราบ ไประจำอยู่ตาชายแดนต่างๆ เสี่ยงอันตราบมากอยู่ คนนี้เป็นชาย ชาติทหาร ตำรวจจริงๆ ข่อนข้างเลือนร้อนไม่กลัวใคร ไปเสี่ยงภัยอยู่ในแดนขุนส่า ท่ามกลางพวกกองกำลัง ก๊กมินตั๊ง ตั้งปืนกลรายล้อมอยู่ตามขุนเขา ตอนหลังปรับเปลี่ยนมาเป็นเจ้าหน้าที่ขนส่ง ประจำอยู่ที่สถานีต่างๆ ตอนหลังมาอยู่ประจำที่ขนส่งจังหวัดพะเยาว์ ตำแหน่งเป็นรองขนส่งประจำสถานี เป็นคนใจกว้าง สปอร์ มีเพื่อนฝูงมากมาย ระดับนายอำเภอ ปรัดอำเภอ ผู้กอง ผู้พันตำรวจทหาร เพื่อนฝูงเอยะแยะ ต่างงานแล้วไม่มีลูก แต่ต้องมาเลี้ยงน้องคนสุดท้อง และลูกชายของน้องสาวอีกคนหนึ่ง ลูกชายจบปริญญาตรี พวกเขาใจกว้างทั้งสองผัวเมียจึงไม่มีการสะสมเงินทอง ฉันเคยเตือนเขาว่าเก็บเงินไว้เพื่อยอนาคดบ้างน้อง แต่เขาตอบว่าพี่ผมเป็นคนไม่มีอนาคต สุดท้ายเขาก็ปลดเกษียนมาตั้งรากฐานอยู่ที่ดอยเทวดา จังหวัดพะเยาว์ หมู่บ้าบุกเบิกใหม่ ชื่อดอยเทวดาฟังแล้วไพรเราะจำใจ เลี้ยงวัวและซื่อที่ปลูกลำไยไว้หลายไร่ ต่อมารู้ภายหลังว่าที่แห่งนี้เป็นที่ของบริษัทเขาครอบครองเอาไว้ เราไปชื้อกับผู้ใหญ่บ้านคนก่อน บริษัทเขาก็ฟ้องเอาที่คืน ชาวบ้านทั้ง 60-70 หลังคาเรือนไม่ยอมขอสู้คดี แต่ชมพูมองดูรูปการแล้ว เห็นว่าไม่มีหลักฐานเพียงพอที่จะมาต่อสู่คดีได้ ถึงสู้คดีก็คงจะแพ้บริษัทแน่ ชมภูจึงไม่ร่วมมือต่อสู้คดีกับบริษัท
ชาวบ้านที่เคยรัก เคารพนับถือกัน ต่างก็อาใจออกห่างไม่ยอมเป็นมิตรและเลิกคบค้าสมาคมด้วย  ส่วนทางบริษัทเขาเห็นว่าชมพูไม่รวมกับชาวบ้านก็คัดออกมาเป็นพยาน และตกลงว่าจะยอมยกที่เฉพาะที่ปลูกบ้านคืนให้ แต่สำหรับที่ทำสวนลำไยนั้น บริษัทก็จะต้องยึดเอาคืนต่อไป ชม๓ก็ตกลงรับคำเป็นพยานให้บริษัท ยิ่งทำให้ชาวบ้านโกรธแค้นยิ่งขึ้น ถึงขนาดไม่มีใครยอมพูดด้วย ต้องคอยพกอาวุธ ปืนติดตัวอยู่ตลอดเวลา พี่น้องไปเห็นเหตุการณ์ ว่าน่าจะไม่ผลอดภัย สำหรับการใช้ชีวิตอย่างนี้ จึงชวนท่าอยู่ที่บ้านเราใกล้ๆ พี่น้อง พ่อแม่เดียวกัน ที่ดินที่เป็นของพ่อแม่ที่แบ่งไดคนละหนึ่งไร่ เพียงพอสำหรับเป็นที่ปลูกบ้านอย่างสายๆ เขาก็ตอบตกลงโดยไม่ลังเลใจ สำหรับชาวบ้านที่ต่อสู้กับบริษัทนั้นต่อสู้อยู่ไปอีกไม่นานก็หันมาเอาอย่างชม๓ ซึ่งบริษัทก็ประกาศไว้อย่างเด็ดขาดว่า ถ้าใครหยุดต่อสู้ก็จะมอบที่บ้านให้เป็นกรรมสิทธิ์ ถ้าใครแข้งจ้อก็จะขับไล่ออกจากที่ดินทันที จึงมีชาวบ้านส่วนใหญ่ยอมทำตามชม๓ ตอนนี้พวกเราทั้งหลายก็ได้ กรรมสิทธ์ เป็นโฉนดที่บ้านทั้งหมดแล้ว กว่าชาวบ้านจะรู้ถึงคุณค่าน้องชายเรามันก็สายไปเสียแล้ว เพราะเจ้าตัวได้ย้ายบ้านมาอยู่ที่บ้านเกิดเรียบร้อยแล้ว ในปัจจุบันนี้ น้องชายเรากับครอบครัวก็มีความสุขและไม่ต้องหวดระแวงภัยอันรายใด ปืนก็ทิ้งแล้ว อาศัยกินบำนาญ และคอยคุ้มครองดูและพี่น้องในบ้านเกิดของตนเองด้วย
คนที่สี่ ชื่อไพรยนต์ น้องชายคนนี้ เป็นคนขยันมาก ทำงานหนัก มาตั้งแต่เล็กๆ โทษฐานที่ส่งไปเรียนหนังสือที่โรงเรียนโคกกะเทียมวิทยาลัยคู่กับพี่ชาย พอกลับมาเยี่ยมบ้านตอนปิดเทอม ไม่ยอมกลับไปเรียนพร้อมกับพี่ชายหนี้ออกไปซ่อนจนพี่ชายต้องกับไปเรียนคนเดียว  หาตัวพบถามว่าทำไมไม่ไปเรียน บอกว่าเหม็นขี้ไก่ เพราะไปพักอาศัยในบ้านที่เขาเลี้ยงไก่  อาสาออกมาทำนาช่วยพ่อแม่ คนนี้ใช้แรงการแบ่งเบาภาระช่วยพ่อแม่ได้มาก เป็นคนทำงานรวดเร็ว เป็นคนรูปร่างหน้าตาหล่อ ทำนา หว่านแห และหาปลาเก่ง แต่งงานครั้งแรก เพราะเสียรู้สาวบ้านสระเตยน้อย อยู่ด้วยกันมีถึงเดือน ก็วิ่งหนีมาบ้านอย่างดื้อๆ ตอนเช้าตรู่ เมียก็วิ่งตามมาติดๆ มาพึงพี่สะใภ้ หาที่หลบซ่อนตัว ต่อมาพ่อก็พาไปอยู่บ้าน เสียวพ่อที่วัดพิกุลทอง สิงห์บุรี่ จึงรอดตัวไป เพราะเมียตามหาไม่เจอ เดือนสองเดือนกลับมาบ้าน ได้สาวคนใหม่ คนนี้เอาจริงๆ บอกพี่สะใภ้ว่า คนนี้เฮาบ่ฮ้างเฮาเอาแท้ๆ แต่งงาน และมีลูกสาวสองคน ย้ายบ้านหลายๆครั้ง เคยไปเลี้ยงไก่เลี้ยงปลากดุกที่ อำเภอรำนารายณ์ ต่อมาก็เป็นชาวไร่ โดยซื้อที่ทำไร่ข้าวโดพ 20 ไร่ แต่ก็ถูกนังเลงนายทุนบังคับโดยทางอ้อม เขาซื้อที่ปิดทางเข้าออก จำเป็นต้องขายที่ แล้วย้อนกลับมาทำนาที่บ้านเหมือนเดิม
ทำนาเช่า 80 ไร่ เป็นสิบปี ผลงานที่ได้จากนาก็ปลูกบ้านได้หนึ่งหลัง แต่ก็เป็นหนี้ท่วมหัวเท่ากับราคาบ้าน ต่อมาหาอาชีพเสริม ซื้อผ้าสิ้นจากกลุ่มทอผ้าไปขายตามหมู่บ้านต่างๆ หาเงินส่งลูกเรียนหนังสือ ต่อมาถูกสหกรณ์ ฟ้องในสมัยนายการะเกตุ เป็นประธาน เจ้าของนาที่ตนเช่าพัวพันด้วย ในฐานะที่เป็นผู้ค้ำประกัน จึงเป็นเหตุให้เขาบอกเลิกเช่านา นายสุรพลน้องชายมาพบ จึงชวนไปขายของตลาดนัด จึงตัดสินใจไปขายของ ตามคำเชิญขอบน้องชาย ซื้อรถกลางเก่ากลางใหม่ยี่ห้อ นิสสัน เงินไม่พอ มาขอยืม ฉันกู้สหกรณ์ให้ พร้อมกับเงินที่เป็นหนี้ค่าลงทันทำนาของโรงสี ยายตะเข็บสะพานนาค ต้นทุนหมื่นบาท กอกเบี้ยหลายปี โดยขอร้องให้ฉันไปเจรจาขอให้แค่ต้นทุน ฉันก็ขอดูสัญญาที่ทำไว้ หลายปี และลงวัน เดือน ปีไว้ หมดอายุความแล้ว จึงเป็นท่องทางขอให้แก่แค่ทุน ดอกเบี้ยขอให้ตัดทิ้งทั้งหมด เพราะดอกก็หมื่นกว่า มากกว่าทุนเสียอีก ในที่สุดเจ้าหนี้ก็ยอม
ต่อจากนั้นไพรยนต์กับภรรยาก็เริ่มขายของ เก็บเงิน กำไรใส่กระป๋องไว้ให้ได้วันละ 500บาท และเขาก็ทำได้ถึงวันละ 3000 บาท นายไพรยนต์ไม่ได้ทำนา ทำไร่ ขายของเก่งจริงๆ และเป็นคนประยัด เขาก็ว่างแผนอนาคตโดยวิธี ผ่อนส่งตึกแถวและอาคารพานิช 3 ชั้น จนในขณะนี้มี่ตึกแถว 2 ชั้น สองหลัง มีอาการพานิช 3ชั้นหนึ่งหลังไว้ให้เขาเช่า ซื้อรถปิกอัพ อีสุสุคนใหม่อีก 1 คัน ขายของตลาดดัดอีกต่อมา ในเวลาเดียวกัน ลูกสาวทั้งสองคนก็เรียนจบปริญญาตรีทั้งคู่ และทำงานกันทุกรน ไพรยนต์กำลังมีเงินมีทองมากพอสมควร ถ้าจะเทียบกับชาวบ้านมะขามเฒ่าของเรา เขาก็เป็นหนึ่งในรุ่นนี้ทีเดียว ไพรยนต์เคยพูดกับฉันว่า ไอ้ทิด เฮาเสียเวลาจาการทำนามาเป็นสิบๆปี เป็นหนี้เขามาตลอด รู้อย่างนี้ออกมาขายของมาตั้งแต่ต้น เฮงคงเป็นเศรษฐีไปแล้ว มันคงจะเป็นจริงอย่างที่น้องเราพูดแน่นอน
แต่อนิจจา น้องชายของฉันที่ทำงานเหนื่อยยากมาทั้งชีวิต แทนที่จะได้ เสพสุขจากทรัพย์สมบัติที่เขาหามาได้จากความเหนื่อยยาก เขากับตายจากโลกนี้ไปกะทันหัน ด้วยโรคร้าย มะเร็งท่อน้ำดี ด้วยอายุได้เพียง 54 ปีเท่านั้น ในเวลาที่มีอยู่มีกิน อย่างเหลือเฟือ ไพรยนต์ จึงมีชีวิตที่อาภัพมากกว่าใครๆ
น้องคนต่อมาคือคนที่ห้า  สุรพล เป็นน้องชายที่เป็นคนหัวเนมากในสายตกของชาวบ้าน แบะญาติพี่น้องของเรา และเขาก็เกเรจริง มีเมียนับเป็นสิบๆคน พี่แม่ เริ่มยากจนลง ไม่ได้ส่งให้เรียนหนังสือ จึงเอาไปบวชเป็นสามเณร ครามีงานทำบุญมหาชาติ สุรพลเทศมัทรีเก่งมาก เสียงดีคนแก่คนเฒ่าชอบมากเสียงอ่อนหลานและเสียงหน้าสงสารในระยะเวลาเศร้าโศก ทำให้คนฟังน้ำตาตกจะร้องไห้และสรงสารเด็กในละครไปตามๆกัน จนหมู่บ้านใกล้เคียงจองกันไปในงานนี้ทั้งเทศกาล
สุรพลบวชอยู่ได้ 2 พรรษา ศึกออกมาก็มาเลี้ยงความ อยู่พักหนึ่ง เป็นระยะเวลาที่ฟ้าฝนแล้ง ติดต่อกัน สี่ห้าปี ทำนาหว่านกันแต่ก็ไม่ได้ผลผลิต คุ้มค่า กับการลงทุนเด็กหนุ่มรุ่นนี้หนีออกบ้านนอก ไปหาทำงานตามโรงงานต่างๆ หลายคน เรียนจบแค่ ป. 4 เท่านั้น มีหลายคนที่พอจำได้ในคุ้มของเราเช่น นายวิจิตร นายบุญหนุน ลูกชายน้าแม่คาวี กับ น้าทิตทิม นายนรินทร์ลูกชายลุงทองทิพย์ นายถนัดลูกชาย ตาเสนาะ ชื่อนายถนัดคนนี้ ต่อมามีธุรกิจเป็นประธานบริษัท มิซูบิซื ที่ สุโขทัยทั้งหลายแห่ง ซึ่งก็เหมือนกับ สุรพลก็มีธุรกิจร้านอาหาร สาม สี่แห่งในจังหวัดร้อยเอ็ด ซึ่งทั้งสองก็เป็นเด็กที่เคยเลี้ยงควายด้วยกัน ที่อาศัยอยู่ในบ้านละแวกเดียวกัน กีภาษีดีกว่าเพื่อนๆร่วมรุ่นหลายๆคน สำหรับนายถนัด กับเพื่อนๆ หลายคนเริ่มต้านจากการไปทำงาน ว่างยนต์ ช่างกลึงช่างอ็อก พัฒนาตัวเองขึ้นมาจากงานช่างต่างๆ แต่สำหรับสุรพล น้องชายฉัน เริ่มต้นจากการทำอาหารจีนในร้านข้าวต้ม ศรีโอชาที่ร้อยเอ็ด เป็นร้านของพี่สาว ลูกพี่ลูกน้อง ซึ่งเจามีผัวเป็นคนจีน ทำอาหารจีน ซึ่งคนกำลังนิยมกันมากในยุคนั้น พ่อเป็นผู้นำไปฝากหลานสาวไว้ให้เขาหัดทำอาหารจีน ในที่สุดเขาก็เจริญงอกงามในทางทำอาหารจนเป็นกุ๊กที่มีความชำนาญ แต่ต่อมาพี่สาวเลิกกิจการ สุรพลต้องออกไปเป็นทหารสองปี และหลังจากเสร็จจากทหารก็เร่รอนไปในระยะหนึ่งและทำงานทุกๆอย่างเช่นขายของตามตลาดนัด และอื่นๆ จนผลสุดท้ายกับไปทำงานที่ร้อยเอ็ด แต่ร้านอาหารพี่สาวมีคนทำอยู่แล้วเลยคิดขยับขยาย ไปเช่าที่สร้างร้านใหม่ และตั้งชื่อว่า ร้าน คนเห็น และต่อๆมาก็ขยับขยาย สาขาไปอีกเป็นร้านที่ 2 โดยให้ภรรยาคนแรกจัดการคุม และต่อๆมาก็เปิดอีก สาขาที่ 3 และที่ 4 เป็นต้น สุรพลมีธุรกิจหมุนเวียน ด้วยเงินทุน เป็นสิบๆล้านซึ่งก็ยากนักที่เด็กเลี้ยงควายเรียนจบแค่ ป.4 จะประสบกับความสำเร็จอย่างนี้ แต่อีกด้านหนึ่งของเจ้าอาเสี่ยคนนี้ ที่อาภัพมากก็คือ เขามีเมียเป็นสิบ แต่ไม่สามารถที่จะมีลูกได้แม้แต่คนเดียว และบังเอิญเจ้าน้องชายคนนี้เกิดปีเดียวกับฉันด้วยถึงแม้ว่าจะต่างกันเป็นคนละรอบแต่เขาก็เป็นคนหัวรั้นคล้ายๆกับฉันนั่นเอง สร้างความไม่พอใจความผิดหวังให้คุแม่อยู่เสมอๆ มาและไม่เหมือนลูกของท่านหลายๆคนที่ไม่เคยสร้างความหนักใจให้ท่านเลย สุรพลเป็นคนสปอร์ ปากแข็งโกษง่ายแต่ใจอ่อนและจะคอยช่วยเหลือพี่น้องคนนั้นคนนี้อยู่มาเรื่อยตั้งแต่ที่ตั้งต้นรากฐานได้ดีแล้ว
คนที่หก ชื่อ มนตรี เป็นน้องชายที่เป็นคนตรงไปตรงมา ตรงจริงๆ ตรงกับสุภาษิตที่ว่าหากเขาเดินไปชนต้นไม้ไม่เลี่ยงเลย  มีนิสัยของคุณแม่เปี๊ยบ ไม่ติดคุณพ่อเลยสักนิด เป็นคนรูปร่างสูงใหญ่ ดูว่าจะสูงกว่าทุกๆคนในครอบครัว เป็นคนมีมานตะบากบั่น แถมเป็นคนมัธยัดอดออม คุณแม่ถูกใจและภูมิใจเขามาก เป็นคนรอบคอบ รอบรู้ ชอบถามนั้นถามนี่อยู่เสมอ เขาจี่จักรบานไปโรงเรียนประจำอำเภอ ระยะทาง 8 กิโลเมตร รวม 16 กมไปกลับทุกวันในฤดูแล้ง ในฤดูทำนา กลับมาจากโรงเรียนแล้วแทนที่จะไปพักผ่อน เขากลับมาถอนต้นกล้าตำนาช่วยพ่อแม่เสมอ พอเรียนจบ มส 3แล้วกลับมาทำนาที่บ้านอีกหนึ่งปีก่อนเพื่อให้คบอายุได้ 18 ปี คุณพ่อนำไปผากหลานสื่อประมวล ซึ่งลูกสาวของคั้วเติม ซึ่งมีสามีเป็นชาวเอมริกัน ซึ่งเป็นทหารบกประจำอยู่ที่ฐานทัพ สัตหีบ ชลบุรี ชื่อมิสเตอร์ ซาเยล (เอายศเขามาเรียก) ทำงานไปเรียนไป และได้เลือนไปทำที่ห้องสมุด มีโอกาสก็เรียนภาษาเพิ่มเต็มจนสามารถเรียนภาษาที่ สถาบัน เอยูเอ จนสามารถพูดภาษาอังกฤษได้คล่อง ในระยะนี้เขาส่งเงินให้ทางบ้านใช้เป็นประจำทำงานไม่นานพ่อก็เสียจากพวกเราไปจากโรคมะลัง มนตรีรับผิดชอบแม่และน้องทางเรื่องเศรษฐ์กิจแทนพ่อ พอครอบครัวกำลังจะสบายขึ้น สี่ปีให้หลัง คุณแม่ก็มาจากเราไปอีกคนหนึ่ง
มนตรีชีวิตขาดแม่แล้วไม่มีที่จะห่วงใจมากแล้ว มีชีวิตหักเห และใฝ่ฝัน โชคดีที่พบกับ พ่อแม่บุญธรรม และเพื่อนชาวฝรั่งเศส ชวนไปอยู่ที่ต่างประเทศ และเขาก็ตัดสินใจไปอยู่ที่นั้น กับพ่อแม่บุญธรรม และเพื่อน เรียนภาษาฝรั่งเศสที่นั่นและทำงานที่นั่นจนครบกำหนด พอที่จะโอนสัญชาติได้ เขาถึงฉวยโอกาสสมัครเป็นชาวฝรั่งเศสได้อย่างเต็มตัว
ต่อมาฉันติดต่อน้องชายขอร้องให้มาช่วยส่งหลานๆ ลูกสมพัฒน์กับลูกนารีให้เรียนหนังสือจนจบ ระดับปริญญาตรี ก็หลายคน แถมยังใช้หนี้ในจนหมดหนี้สินสหกรณ์ และยังมาช่วยปลูกบ้านให้อยู่อีกด้วย ในช่วงเวลาเดียวกัน ทุนการศึกษาของ คุณพ่อบูญธรรม คุณแม่เย็น กางกรณ์ ที่ ฉันตั้งขึ้นมาหลังจากแม่ถึงแก่กรรมไปแล้ว ชาวฝรั่งเศสมารู้ว่าพวกเรากำลังทำงานเพื่อเด็กยากจน เขาต่างชื่นชอบใน นโยบายของเรา พวกเขาก็ระดมทุนผ่าน มนตรี และ มิสเตอร์กีย์ มาดาเลอน่า มาสมทบทุนประจำ ซึ่งในขณะนี้ กองทุนนี้มีทุนกว่า สองล้านบาทแล้ว เริ่มต้นมาจาก โรงเรียนวัดมะขามเฒ่า โรเรียนเก่ายุบแล้วจึง
ย้ายมาอยู่ที่ โรงเรียนบ้านสระเตย โดยมีเงื่อนไขไว้ว่าให้ใช้ได้เฉพาะดอกเบี้ย ทุนยังคงอยู่เหมือนเดิ ม สำหรับดอกผลนั้นให้โรงเรียนพิจารณาใช้กับเด็กๆนักเรียนในด้านต่างๆ และดอกผลนี้จะต้องนำไปสมทบกองทุน สิบเปอร์เซ็นต์ในทุกๆปี และต่อๆมาพวกฝรั่งเศสต้องการอุปการเด็กๆเป็นรายตัวด้วย ทุนส่วนตัวของใครของมัน โดยขอให้คณะครูคัดเลือกเด็กๆที่ยากจน ส่งรายชื่อไปให้ ชาวงฝรั่งเศสเลือกส่งเด็กเอง อย่างเด็กบุตรบุญธรรม ที่จะต้องส่งเงินมาให้เรียนโดยตรง ในปัจจุบันนี้ มีทุนจากผู้อุปกราระชาวฝรั่งเศสถึง ร้อยกว่าทุนโดยส่งเงินให้ตามอัตรา ของเด็กเล็ก เด็กโต ด้วยวงเงินตั้งแต่ 4 พันบาทถึง สองหมื่นห้าพันบาทต่อปี และเด็กเหล่านี้ มีหลายคนเรียนจบการศึกษาในระดับ ปริญญาตรี ปวช หรือปวส และต่างก็จบกันไปมากแล้ว
ยิ่งไปกว่านั้น ยังซื้อที่ดินให้โรงเรียนเพื่อฝึกหัดวิชาประกอบอาชีพทางการทำนาข้าวปลอดสารพิษและนำผลผลิตนี้ทำเป็นอาหารกลางวันให้เด็กนักเรียนด้วย เขาสามมารถหาทุนมราสร้างบ้านให้เด็กและครอบครัวที่ยากจน ที่ไม่มีบ้านเป็นของตนเอง หรือมีบ้านที่มีสภาพเสื่อมโทรม สภาพแวดล้อมที่มีน่าจะเป็นที่อยู่อาศัย สำหรับเด็กในสายตาของชาวฝรั่งเศสปัจจุบันนี้ บ้านสร้างแล้วรวม 5 หลัง ในจำนวนนี้ สองหลังได้สร้างบ้านให้พร้อมกับที่ดินด้วย แถมยังยอมให้ทางราชการใช้ที่ดินที่ปลูกบ้านให้กับคนยากจนอีก 1หลัง ในที่ดินของชาวฝรั่งเศสที่บอบให้โรงเรียนรวมทั่งลงทุนสมทบช่วยสร้างบ้านหลังนี้กับทางการเพื่อเป็นที่ระรึงถึงในปีวันเกิดที่ 89 พรรษาของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวอีก ก็นับว่าเป็นบ้านหลังที่ 6
และสุดท้ายทางมนตรีและคณะจากฝรั่งเศสได้ช่วยในการผ่าตัดตาให้แม่ตาบอดมาหลายปีแล้วที่มีลูกสาว 2 คนให้มีโอกาสได้มองโลกเราได้อย่างปกติอีกครั้งนับว่าเป็นสิ่งที่พวกเขาและสมาคมเพื่อนๆมะขามเฒ่ามีความยินดีและภูมิใจอย่างยิ่ง
มนตรีเคยบอกฉันว่า พี่ครับ เงินเหล่านี้ ผมมิได้หามากได้อย่างง่ายๆน๊ะ ผมต้องแต่งหนังสือประวิตของผม เป็นภาษาฝรั่งเศส ที่ชื่อเรื่ยงว่า มนตรี ลูกชาวนาไทย และอีกเรื่องคืน เรื่อง เด็กมะขามเฒ่า เรื่องมันเกี่ยวกับเด็กๆบ้านนอก ชีวิตของเด็กๆท้องนาที่มะขามเฒ่าเรานี้เอง และพิมพ์ออกขาย แล้วรวบรวมเงินมาสมทบกองทุน ของเพื่อนๆ มะขามเฒ่าที่ฝรั่งเศส และผม กับ มิสเตอร์กีย์ มาดาเลอรน่า จัดงานเลี้ยงอาหารไทยแก่สมาคม และเชิญชาวฝรั่งเศสมาร่วมสังสรรค์ เขาใส่ซองให้ ผมก็นำมาให้กองทุนทั่งหมด ปีละหนึ่งครั้ง มีแขกมากกว่า 230 คน เพราะเรารับจำกัด ได้กำลังโดยมิได้หักค่าใช้จ่ายเลย เรายังมีโอกาสได้ขายของที่เราซื้อมาจากเมืองไทยมาขายเพื่อหาเงินเข้าสมาคมเพื่อนๆมะขามเฒ่าด้วย  สมาคมนี้มีผู้เป็นคณะกรรมการอยู่ 21 คน ที่คอยตัดสินใจว่าจะช่วยทางไหนบ้าง
ฉันฟังน้องพูดแล้ว อึ้งและตื้นตันใจมาก ยินดีและภูมิใจที่ลูกชายของคุณพ่อคุณแม่เรานี้ เป็นคนซื่อตรงไปตรงมา ไปอยู่ต่างประเทศแล้วได้ดีแล้ว ก็ยังคิดถึงบ้านเกิดของตน และแทนที่จะหาความสุขใส่ตัวเอง เขากลับมาพัฒนาเด็กๆยากจนให้ได้เรียนหนังสือให้มีความสำเร็จ เพื่อจะได้ช่วยเหลือตนเองและครอบครัวต่อไปได้ โดยที่เขาเองไม่ได้หวังในการตอบแทนใดๆทั้งสิ้น มนตรี และเพื่อนขอบเขา คือ มิสเตอร์กีย์ มีคนรู้จักทั่วทั้งตำบลบ้านเกินของเขา และหมู่บ้านในตำบลข้างเคียงด้วย

น้องคนที่เจ็ด เป็นน้องสาว ชื่อว่า อารุณ หรือมีชื่ออีกชื่อหนึ่งว่า นารี ที่พวกเราเรียกกันติดปากกันมาแต่เด็กๆ นายสมภพ ลูกชายฉันเคยคุยกับฉันไว้ว่า ในบรรดา น้องๆของพ่อทั้งหมด มี อานารีเป็นคนอาภัพ และน่าสงสารมากที่สุด เพราะว่า พวกพี่ๆจะสั่งซ้ายหัน ขาวหันให้ทำตามคำสั่งตลอดเวลา อานารีไม่เคยได้ทำตามใจของตนเองเลย ผิดกันมากกับอา น้อย ที่มีแต่คนคอยเอาอกเอาใจ คอยดูแลให้ความรักและตามใจมาตลอดความคิดของลูกชายมันน่าจะถูกต้องมากที่สุด เพราะตั้งแต่เป็นเด็กมา ใครจะไปไหนทำอะไร ก็ให้นารีไปทำแทน แม้แต่ใครค้างเงิน ยืมของไว้เล็กๆน้อยๆ แม่ก็ยังสั่งให้นารีไปทวงแทน ซื้อของเชื่อตามร้านค้า จะให้นารีทั้งนั้นแต่นารีเป็นคนอืดอาดสักหน่อยทำอะไรไม่รวดเร็วนัก เรียนก็ไม่เก่งด้วยตรงกันข้ามกับมนตรี มันคงจะทำให้นายมนตรีถือโอกาสในปมด้อยของน้อง ตอนเป็นเด็กสั่งโน้นสั่งนี้ มนตรีเวลาปวดท้องกลางคืนก็ต้องเรียกนารีไปเป็นเพื่อนเพราะตนเองเป็นคนกลัวผี แต่นารีไม่เคยกลัวผีแม้แต่น้อย  แม้แต่คน นารีก็ไม่กลัว พอน้องชักช้าอยู่ไม่ทันใจก็ตะโดนเรียนเสียงดัง เช่นคำว่า นารีมาเร็วๆ... บางทีก็ อี่นารีมาเร็วๆ กูจี่หี้บไป อย่างนี้เป็นต้นคุณแม่ก็จะเข้าข้างมนตรีอยู่เสมอ นารีต้องทำตามคำสั่งแม่และพี่ชายโดยไม่โต้แย้งหรือต่อว่าเลยสักคำ แม่จะส่งนารีไปช่วยเลี้ยงลูกๆของฉัน และลูกของสมพัฒน์อยู่ตลอดในระหว่างที่ทำงานทำนา เกี่ยวข้าวในระหว่างหยุดเรียนหนังสือ มันก็ไม่ว่าสั่งทำอะไรมันก็ไม่ว่าไม่เถียง
นอกจากนั้นเมือจะแต่งงาน ฉันกับแม่จับให้มันแต่งงานมันก็ไม่ว่า บอกว่าแล้วแต่พี่ๆ ของตนเองจะจดการให้ ถึงแม้ว่าจะแต่งกับคนที่แก่กว่าและไม่เคยรู้จักเขาก่อนมันก็ไม่ว่า ด้วยเหตุดังกล่าวนี้ นารี หรือ อารุณจึงเป็นคนที่น่าสงสารในสายตาของสมภพชีวิตครอบครัวของนารีจึงเกิดความผิดพลาดขั้น เมื่อสามีคนแรกเป็นคนขี้เมา ชอบอาละวาดเมีย จนเป็นเหตูให้ฉันต้องตัดสินใจปรึกษาน้องให้แยกทางกันโดยมีลูกติดหนึ่งคน และต่อมา ฉันในฐานะผู้แทนของครอบครัวแทนพ่อ ก็ได้ปรึกษาแม่ เพื่อหาผัวใหม่ให้ มันใหม่อีก สามีคนที่สองนี้ก็ดีขั้นบ้างไม่ดื่มเหล้าและสูบบุหรี่ มารู้ภายหลังว่าอ่านหนังสือไม่ออก  เป็นเหมือกับช้างเท้าหลัง เป็นคนตามใจเมีย ความคิด ความอ่าน การทำงานทุกๆอย่องต้องให้เมียเป็นคนตัดสินใจ แต่ก็คงจะนำพาครอบครัวเอาตัวรอดได้ยาก ยิ่งในปัจจุบันนี้ ลูกของนารี ก็เติบโตขั้นมาเป็นหัวหน้าส่งการเสียเอง เป็นคนสั่งแม่ให้หันซ้าย หันขาว แทนพวกพี่ๆเหมือนเดิม
นารีมีอุปนิสัยดี เป็นคนโออัอมอารี รักพี่รักน้อง เป็นคนจะเอายังไงก็ได้ พูดเสียงดัง หัวเราะเสียงดัง ถอดแบบมาจากป้าทองมา พี่สามคูณพ่อที่บ้านกลับด้านการงาน ก็ทำไปเรื่อยๆเฉื่อย ไม่ตั้งเป้าหมายว่าจะเสร็จหรือไม่เสร็จ แบบถึงก็ว่างไม่ถึงก็ช่าง อย่างรถไฟหวานเย็น ฉลาดเคยจ้างไปเกี่ยวข้าวหรือดำนา ระหว่าง สมพัฒน์ กับนารี สมพัฒน์ทำงานอย่างเอาจริงเอาจัง ซึ่งผิดกับนารี เวลาทำงาน จะมองเห็นใครต่อใครผ่านไปมาตามถนนที่อยู่ไกลๆ จะจำได้หมดว่าใครเป็นใคร แต่สำหรับงานฝีมือ ทำในร่มนารีจะขยัน และทำเก่งมาก ทำได้ทั้งวันไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อย งานถัก ทอผ้าทำได้เก่ง การจักสานไม้ไผ่ ทำตะกร้า กระเป๋าเปล เครื่องประดิษฐ์ต่างๆ ที่ทำด้วยมือ ประเภท พล้าสติก ใบลาน ใบมะพร้าว กะลามะพร้าว ใครทำตัวอย่างให้ดูเดียงครั้งเดียว นารีจะทำได้หมด ทำได้ดีพอๆกับครูที่สอนเลยที่เดี่ยวและงานด้านนี้จะขยันทำมาก หากมีใครส่งเสริมทางนี้ นารีอาจไปไกลสุดกู่เลยก็เป็นได้ สรุปก็คือ นารีไม่ชอบงานกลางจ้า ทำไร่ทำนา ไม่ขยันไม่สมบุกสมบันในด้านนี้และชอบให้คนบอกนั่นบอกนี้ถึงจะทำ แต่เธอชอบงานศิลปะและงานผีมือมากกว่า และงานสังคมต่าง
น้องคนสุดท้องเป็นหญิงชื่อว่าอุรา พ่อตั้งชื่อให้คล้องจองกับ อรุณ แต่ก็ไม่มีใครเรียกชื่อตามเหมือนกัน พวกเราเห็นเป็นน้องคนสุดท้องจึงพากันเรียกชื่อว่า น้อย เป็นลูกหล้า ขวัญใจของพ่อแม่พี่น้องทุกๆคน เอาอกเอาใจมาตั้งแต่เกิด อายุยังอ่อนกว่าลูกสาวคนโตของฉันที่เป็นหลานเธอตั้ง 1 ปี  อุราเป็นลูกกำพร้าพ่อ แม่ตั้งแต่อายุประมาณ 6 ขวบ ยิ่งได้รับการเอาใจใส่ดูแลจากพวกพี่ๆเหมือนฟองไข่ในหิน คนพวกของเรานี้ พ่อแม่จะโอ้ลูกคนหัวปี และลูกคนสุดท้ายมาก ยิ่งเป็นลูกชายคนหัวปี พ่อแม่มักจะเห่อให้อะไรต่ออะไร มากกว่าคนอื่นๆ บางที่ลูกชายคนหัวปีอาจจะพลาญทรัพย์สมบัติของพ่อแม่ หรือพาพ่อแม่เป็นหนี้เป็นสิน ถูกเขายึดที่ยึดนาทำให้เดือดร้อนถึงพวกน้องๆ ทำให้น้องๆต้องลำลาก ภายหลังก็มีอยู่มาก มีตัวอย่างเห็นกันอยู่อย่างมากมาย ส่วนน้องคนสุดท้อง หรือลูกหล้านี้ คงจะน่ารักไร้เดียงสา สมควรที่จะดูแลเป็นพิเศษ โดยเฉพาะ  ยิ่งเป็นผู้หญิงด้วย เพราะอาจจะต้องอยู่เรือนเลี้ยง พ่อแม่ที่บ้านต่อไปภายหน้า คนพวนชอบเอาลูกหญิง ลูกหล้า หรือ ลูกคนหัวปีเลี้ยงเรือน ไม่เหมือนพวกคนจีน กับพวกแขก เขานิยมเอาลูกชายหัวปีมาเป็นผู้สืบทอดสมบัติเพื่อสืบสกุล ชื่อแของเขา พวกลูกสาวของเขาจะให้ไปอยู่เป็นสะใภ้เลี้ยงดูพ่อแม่ของสามีต่อไป เจตนาของคุณแม่ของฉันก็คงจะเหมือนกัน เพราะก่อนตาบ แม่เรียกฉันเข้าไปฟังใกล้ แล้วสั่งไว้ด้วยเสียงค่อยๆแต่ชัดแจนว่า สมโภชน์ เอ่ย แม่ตายแล้วให้ดูแลน้องๆ อย่ากวนกันเด้อลูก บ้านหลังนี้ ยกเฮ้ออีน้อย นาฮิมบ้านแปดไร่ แบ่งให้คนละ 2งานที่เหลือหั้นเฮ้ออี่น้อยไป นาคูขาดนั้น ยกเฮ้ออี่ น้อยเลย แม่จี่ได่นอนตายตาหลับหมดห่วง ต่อมาอีกไม่นานแม่ก็หลับตาลง สะดุ้งเฮือกเป็นครั้งสุดท้าย แล้วก็จากพวกเราไป
เมื่อจัดการศพของท่านเสร็จเรียบร้อยแล้ว ฉันจึงได้ทบทวนคำสั่งของแม่ครั้งสุดท้ายก่อนตาย ฉันก็คิดในใจว่า แม่คงจะห่วงน้องคนเล็กเป็นที่สุดกระมัง จึงสั่งให้แบ่งที่บ้านที่นา เอนเอียงไปทางลูกหล้า อย่างนี้ แล้วลูกหญิงของแม่อีกสองคนล่ะ  สมพัฒน์ และนารี ก็เป็นลูกแม่เหมือนกัน แล้ว ลูกชายอีกห้าคน ก็เป็นลูกของแม่อีกเช่นกัน และฉันละคิดจะทำอย่างไร กับคำสั่งเสียครั้งสุดท้ายนี้  สำนึกหนึ่งก็เกิดขึ้นกับฉัน ฉันจะต้องยอบทำบาปเพราะจะขัดขืนคำสั่งของแม่ ซึ่งอาจตกนรกก็ต้องยอม เพราะฉันอาสาแม่ดูแลน้องๆ เราต้องให้ความยุติธรรมให้เขาทุกๆคน ถ้าทำตามแม่บอก พวกเขาจะน้อยอกน้อยใจ แล้วกลัวว่าจะแตกความสามัคคีกันแล้ว เราคงจะปกครองเขาไม่ได้ ในที่สุดฉันก็บอกเหตุผลกับพวกน้องๆว่า พี่จะเปลี่ยนแปลงคำสั่งของแม่ เช่น บ้านหลังนี้ ขอยกให้ น้อยกับนารีไปคนละครึ่ง สำหรับนาคูขาด นั้นมี 15 ไร่ ขอแบ่งให้ลูกผู้หญิงทุกๆ คนละเท่าๆกัน ส่วนนาริบ้าน เรา มี 8 ไร่ ก็จะแบ่งให้ลูกทั้งหมดคนละ 1 ไร่เท่าๆกัน พี่คิดว่าคงจะยุติธรรมกว่าที่แม่ สั่งไว้ และพี่จะยอมรับบาป และยอมตกนรกแทนเอง
ฉันคิดว่าตอนนี้คุณแม่คงจะยิ้มและให้อภัยฉันแล้วแหละ เพราะลูกสาวหล้าของท่าน แต่คนคอยเอาใจดูและ เอาอกเอาใจ รักษาไว้เหมือนดวงแก้ว หรือไย่ในหินอย่างไรอย่างนั้นเลยเชียว ถึงแม้ว่าฉันจะทำร้าย น้องสาวคนนี้อยู่ครั้งหนึ่ง ตอนที่กังอยู่ในช่วงวัยรุ่น เรียนจบวิทยาลัยครูมาใหม่ๆ ยังไม่ได้ทำงาน วันนั้น ฉันกลับมาจากนา ตอนพลบค่ำ พอถึงบ้า ก็เห็นยาย เสมอเพื่อนบ้านมานั่งอยู่หัวบันได ยายสมเกียรติยืนอยู่ข้างตีนบันใด ฉลาดนั่งบนชานบันใด พอฉันมาถึง ฉลาดก็บอกยายเสมอ แล้วชี้มือมาทางฉันว่า บอกเพิ่นเอาเอง เพิ่นมาแล้วฉันก็ถามหาสาเหตุ ยายเสมอก็เล่าว่า ไอ้บ่าวมานอนค้างบ้านน้องโต ฉันก็ถามต่อมาว่า ใครหรือ เสมอก็บอกต่อว่า เป็นแฟนของ น้อย มัน ฉันถามต่อว่า อีนารี ก่าอยู่นำจี่เฮ้อเขานอนเอ็ดพีเพอทั้งสอง สมเกียรติและเสมอก็พูดขึ้นมาพร้อมๆกันว่า  อี่นารีก่าบ่อว่าเพอเลอเขาน้าตอนนี้มันกำลังอาบน้ำอยู่ฉันตึกฉุนกึกขึ้นมา เดินผละจากบ้านโดยไม่ยอมขึ้นเรือน กำว่าจะไปดูให้เห็นจริง เจ้าหมอนั่นคงจะอาน้ำเสร็จแล้ว ผลัดเสื้อผ้ากำลังนั่งอยู่ระเบียงเรือนใหญ่ พอฉันขึ้นเรือนไปก็ถามว่า นี่คุณมาจากไหน  มันตอบว่ามันมากับป้าแจ่ม ฉันก็บอกว่ามากับป้าแจ่มก็ต้องไปนอนค้างบ้านผ้าแจ่ม จะมาค้างที่บ้านนี้ไม่ได้นะ บ้านนี้เป็นบ้านนอก มันไม่ใช่กรุงเทพฯ คุณน่าจะคิดได้นะ เพราะมีแต่ผู้หญิง ชาวบ้านเขาจะนินทา รู้ไหม ไปๆ ไม่เอา เสียฉันแข้งกร้าวขึ้น น้องสาว น้อยเดินออกมารับหน้า ยอกว่า เพื่อนเขาน้าไอ้ทิต ฉันกรากเข้าไปตบหน้าน้อยหนึ่งฉาด แล้วตะคอกไปว่า เพื่อนเพอ มึงมันเป็นผู้ชาย เสียงนาแผดดังขึ้นว่า ไอ้ทิต เอ็ดเพอเลอเจ้าจั่งเป็นอย่างนี้ฮ้าเดี๋ยวนีน่า ฉันยกมิชีหน้านารี บอกว่า มึงหยุดนะ  ฮอดมึงกู้นแหละ  แล้วฉันก็หันมาหาเจ้าหนุ่มคนนั้น เอ็งไปนะ อย่าให้ฉันกลับมาเห็นอีก มันก็เดินลงจากบ้านไปเหมือนคนว่าง่าย และอับอายที่ถูกไล่ลงจากบ้าน ฉันก็เดินกลับมาที่บ้านแอบนั่งน้ำตาไหลอยู่หน้ายุ้งข้าว ตึกถึงคำแม่สั่งไว้ ยิ่งตื้นตันใจ นี่เราทำร้ายน้องมากเกินไปหรือเปล่า ครู่ใหญ่ๆ ก็ได้ยินเสียง ฉลาดเรียกขั้นไปกินข้าว บนบ้าน ฉันใช้ผ้าขาวม้าแอบเช็คน้ำตาโดยไม่ยอมให้ฉลาดเห็นถึงความอ่อนแอของฉัน
ชั่วชีวิตของฉัน ไม่เคยตบดี ลงโทษใครโดยใช้กำลงโทษ พวกน้องๆและลูกๆเลย นอกจาก มีเพียงสองคนเท่านั้นที่ฉันทำ และทั้งสองก็เป็นคนพิเศษสำหรับฉันจริง ก็คือ น้อย น้องสาว และเจ้า โอ็ต หลานชายตัวดีของตัวเอง เจ้าหลานชายคนนี้ ยายของมันตามใจมันจนเคยตัว เรียนหนังสืออยู่โรงเรียน ว่างกลละโว้ปีที่สองใกล้จะสอบปลายปีแล้วให้เงินไปโรงเรียนวันละ 60 บาท ไม่พอใช้ ยายก็ขยับขึ้นไปอีกวันละ 80 บาท ก็ยังไม่พออีก สุดท้ายต้องจ่ายหลานวันละ ร้อยบาท ให้ไปโรงเรียนทุกวัน ได้ข่าวว่าติดยาบ้า ได้ยินจากพวกบ้านสระเตย มาสืบรู้ภายหลัง ตอนที่ครูจับได้ จึงเขียนมาเรียนผู้ปกครองให้ไปพบ จึงทราบว่า หลานไปเซ็นชื่อเข้าห้องเรียนทุกๆวัน แสดงว่าไม่เคยขาดโรงเรียน การบ้านก็มีเพื่อนคอยคัดลอกให้ ครูไม่มีทางรู้เลยว่าขาดโรงเรียน เพราะมีเด็กในห้องเรียนหลายคน ครูอาจจำไม่ได้ทั้งหมด พวกเพื่อนๆก็ช่วยกันปกปิดคุณครูไว้ ฉันสงสัยจึงไปสืบดูให้เห็นด้วยตาของตนเอง จึงขออนุญาตครูขอไปตรวจดูในห้องเรียน ดูราบชื่อก็มีเซ็นชื่อเข้าเรียน แต่ไม่มีตัวตน ถามเพื่อนร่วมชั้นก็ไม่มีใครทราบว่าไปไหน ครูก็แนะนำพวกนักเรียนว่า ฉันคือคุณตาของเขา ต้องการทราบความจริงของหลานท่านว่ามีความประพฤติอย่างไร ทุกคนเงียบกริบ ไม่มีใครพูด แม้แต่คนเดียว ฉันจึงพูดต่อไปว่า ตารู้นะที่พวกเธอไม่พูดนี้เพราะต้องการปิดบังเอาไว้ รู้สึกว่าพวกเธอรักเพื่อนมากจึงต้องทำเป็นไม่รู้ แต่เธอกำลังรักเพื่อนในทางผิด เพราะเพื่อนยองพวกเธอคนนี้ จะต้องสอบตกเพราะเรียนไม่ทันเพื่อนๆ พวกเธอได้เลื่อนชั้น เขาจะต้องเรียนซ้ำชั้น บางทีอาจจะต้องได้ออกจากโรงเรียนไปเลยก็ได้ มีเด็กคนหนึ่งยกมือขึ้น แต่อีกคนนั่งอยู่ใกล้ๆกันสอดเสียง พึมพัมออกมาว่า อย่าได้อ้วน ฉันจึงหันมาสนใจเด็กสองคนนี้ทันที คนยกมือพูดว่า ฉันจะบอกตา ตนนั่งข้าง ก็ว่า ระวังมันเอาเรื่องกับมึงนะโว้ย ฉันก็บอกเขาไปว่า บอกมาเถอะลูก เดี๋ยวตาจะจัดการมันเองไม่ต้องกลัวมันหรอก ตารับรอ เขาจึงเล่าให้ฟังว่า โอ๊ดบอกไว้ไม่ให้บอกใคร เขาบอกฉันว่าให้ข้ามสะพานหน้าโรงเรียนไปฝั่งตรงข้าม แล้วเลี้ยวขาวไปประมาณ 200 เมตร จะมีร้านขายของ ทางหน้าร้าน ให้เข้าด้านหลังร้านจะมีประตูลับเดินเข้าออกได้ ฉันก็ตามเข้าไปตามคำบอกเล่าของเด็กคนนั้น ก็เห็นโตจ๊ะสนุกเก้อ หลายโต๊ะมองไปรอบๆ ก็เห็นโอ๊ดกำลังเอาซอกด์ถูหัวไม้คิวอยู่ที่ฝั่งโต๊ะอีกต้านโน้น อารมโกชร ฉันเดินผ่ากลางเข้าไปกระชากแขนหลานออกมาจากโต๊ะ แล้วตบอย่างแรงไปสองฉาดแล้วก็พูดเสียงดังๆว่า ตาให้เอ็งมาเรียนหนังสือ ไม่ให้มาเรียนเล่นสนุ๊กเก้อ แล้วกระซากแขนให้เดินตามออกมา เสียงพูดอ่อยๆว่า ตาทำไมทำอย่างน่า อายเขา เออทำอย่างนี้และไปกลับบ้านเดี๋ยวนี้ ฉันนำมาขึ้นรถนายสนาม ป้าทองแยงที่เหมาเขาไปกลับ มือถึงบ้านแล้ว ยายฉลาดก็บ่อไปต่อว่าตัดถ้อไป ฉันแอบดู เขานั่งนิ่งเหมือนจะสำนึกผิด วันต่อมา พ่อของมันก็มาถึง มาสอบสวนลูกชาย อยู่พักหนึ่งก็ได้ยินเสียง ผ๊วะๆ สองสามครั้ง เสียงยายฉลาดร้องว้ายเสียงหลง มันลงโทษลูก เหมือนทำกับนักโทษ ให้ด้ามปืนตบหน้าขู่ว่าจะยิงทิ้ง ฉัน๔ลันเจาไปขวางแล้วกระแทกเสียงใส่ลูกเขยว่า มึงหยุดอย่านะ มองเห็นหลานกัดฟันตำตาคลอ มองดูหน้าแล้วสงสารจับใจ เมื่อทุกอย่างผ่านไปแล้ โอ๊ดก็เดินโซเซออกไปทรุดตัวลงนั่งได้ร่มต้นมะม่วงหน้ายุ้งข้าวพ่อใหญ่หลังบ้าน ตาเหม่อมองไปทางกรุงเทพฯ คงจะคิดถึงแม่สนองของมันมาก เพราะแม่สนองไม่เคยด่าวาตบดี มีแต่ผลอบโยนเมื่อมีทุกข์ ก็คงจะคิดถึงอกของแม่ก่อนเสมอ ฉันจึงคิดได้ทันทีว่า เด็กวัยรุ่นที่มันฆ่าตัวตายนั้น มันคงมาจากสาเหตุจากความน้อยอกน้อยใจอย่างนี้ ใช่แล้วละหนอ เราอาจจะทำเกินไปกับหลาน และกับน้องของเราในอดีต เราคงทำเกินไปจริงๆ
วันรุ่งขึ้นพ่อมันก็กุมเอาตัวลูกชายกลับบ้านที่กรุงเทพฯ ท้นทีไม่ยอมเก็บเอาเสื้อผ้า หนังสือเรียน เครื่องใช้ต่างๆ เกี่ยวกับการเรียนไปเลย มันคงคิดว่าฉันกับแม่ยายของมันเอาใจหลานเกินไป เรียน ละโว้เทอมละ 8000 บาท เรียนอยู่สองปีก็ไม่จบ ปวช เมื่อโอ๊ดจากไปแล้ว ฉันกับยายฉลาดก็เหมือนกับอยู่สองคน ในโลก มองไปทางไหนก็รู้สึกอ้างว้างวังเวงใจชอบกล โรคซึมเศร้าก็คงกำลังจะมาหาสองคนตายายอย่างเราแล้ว ยายฉลาดเริ่มเข้าวัด บวชชีพราม์ หาเรื่องชวนคนไททำบุญวัดต่างๆ ตอนนี้แกไม่เคยเสียดายเงินทอง พระมาชวนสร้างโบสถ์ ศาลา ห้องน้ำ ทำทั้งนั้น หมื่นสองหมื่น ไม่เสียดาย ยาขาดละแปดพัน หรือหมื่นบาทก็ยังซื้อ ใครพูดถูกใจยืมเงินเป็นหมื่นแกก็ให้เขา ฉันก็ออกระเกา กระบะแสตนเล็ส1คัน พาไปทำบุญตามวัดต่างๆ ทำตามใจแกทึกอย่าง ชวนเลิกทำนา ไอยู่เฉยๆ ไม่ต้องทำอะไร เพราะไม่อย่าจะได้อะไรแล้ว ยาย เลื่อน คนรับจ้างทอหูก พ่อแกตาบไม่มีเงิน มายืมเงินไปทำศพ พ่อสองหมื่นบาทยายฉลาดแกก็ให้ไปโดยไม่ทำสัญญาใดๆ บอกว่าเผาศพแล้ว ว่าจะนำมาคืน เสร็จแล้วก็ยังไม่ได้ ต้องรออีกหนึ่งอาทิตย์ น้องชายเธอ นายเลียบก็นำเงินมาคืน แล้วยังแถมจะให้เขียนใบรับเงินให้ ฉันจึงพูดว่า โตมันมากไปละมั้ง เวลาให้ยืมสัญญาสักตัวก็ไม่ทำ เวลาเอาเงินมาคืน จะให้เขียนใบเสร็จรับเงินให้ บ่อคอเอกดอกเบี้ยก็บุญหัวแล้วมั่ง ฉันจึงบอกฉลาดว่า ทำคุณคนไม่ขึ้น ก็อย่าทำมันเลย
คุยเรื่องน้อง น้อยอยู่ดีๆ ก็กลายมาถึงเรื่องของนาย โอ๊ด และยาย ฉลาด วกไปเวียนมาน่าเวียนหัว ก็เป็นเพราะนำมาเปรียบเทียบกันให้ดู ว่าผ่ามือฉันที่ตบน้องสาว และหลานนี้ มีส่วนหนึ่งที่ทำให้เขาได้ดีเหมือนกัน เช่น ต่อมาอีก ไม่นาน นายโอ๊ดก็เลิกยาบ้าแล้ว ก็เรียนจบ ปวส ทำงานเป็นพนักงานส่งเงิน แบ็งค์ กสิกรไทย







 สำหรับน้อย น้องสาวของฉัน หลังจากถูกตบไปแล้ อีก สองปีต่อมา ก็นำชายหนุ่มรูปร่างเป็นผู้ดีมีการศึกษา มาสู่ขอแต่งงานจากฉัน ในฐานะที่ฉันเป็นพี่ชายคนโต ฉันก็บอกทั้งคู่ไปว่า คนเลี้ยงดูแลเธอมาแต่เล็กๆ คือชมภูคนนั้นก็เปรียบเสมือนพ่อ ขอให้พวกเธอไปขอกับคนนั้น ถ้าเขายกให้ พวกเธอก็แต่งงานได้ และต่อมาทั้งสองคนก็ได้แต่งงานกันตามพิธีทางศาสนาของ คริสตจักร อยู่ด้วยกันมามี ลูกสาวสองคน สามีของน้อยเป็นคนเก่งภาษาอังกฤษ เป็นคน มัธยัสถ์ (ขี้เหนียว) มาก คิดดูเถอะ หมอลงรถไฟหนองทรายขาว พาลูกเมียเดินมาจากสถานี จนถึงหมู่บ้านมะขามเฒ่าโดยไม่ยอมจ้างรถมอเตอร์ไซด์ราคาแค่ เที่ยวละ 20 บาทเท่านั้น และน้อย น้องสาวฉันก็เคยเป็นคนสุรุ่ยสุร่าย กลายมาเป็นหอยดิบอย่างไม่ทันรู้ตัว และผลของความ มัธยัสถ์ ความอุสาห์นี้ ต่อมาไม่กี่ปีทั้งสองก็มาปรึกษาว่าจะรื้อบ้านของแม่เสร้างใหม่เพราะสภาพจะพังไปมากแล้ว พี่เห็นว่าอย่างไร 
ฉันก็ย้อนถามทั้ง น้อยและน้องเขยว่า บ้านของแม่นี้ ก่อนตายแม่บอกว่ายกให้น้อยคนเดียว แต่ตัวพี่เองเห็นว่าไม่ค่อยถูกต้อง พี่จึงคุยกับพวกน้องๆว่าให้นารีที่อยู่เลี้ยงเรือนมีสิทธิร่วม ชมพูและสุรพลตอนนั้นก็ยังไม่มีบ้านอยู่เป็นหลักแหล่งก็ให้มีสิทธิ์ที่จะเข้ามาอยู่อาศัยได้ทั่งสี่คน เมื่อเธอนำเงินมาสร้างคนเดียว บ้านนี้ ทั้งสี่คนก็มีสิทธิร่วมด้วยนะ ขอให้เธอคิดให้ดีๆ จะปลูกของส่วนตัวต่างหากก็ได้นะ ในที่ตรงนั้น หลังบ้านนั่นแหละ ทั้งสองก็บอกว่าไม่เป็นไรพี่ เราจะปลูกแล้วอยู่ด้วยกัน ฉันก็พูดบอกไปว่า คนอื่นก็ไม่สำคัญเท่ากับนารี และสามีมันนายสนองหรอก เพราะเป็นผู้อยู่อาศัยประจำ ที่ดินเป็นโฉนดก็จริง แต่ถูกปล่อยปะละเลยมาเกิน 10 ปีขั้นไป นับว่ามันนานมาแล้วสมัยบรรพบุรุษ มีสิทธิ์เพียวผู้ใหญ่บ้านมาวัดเขตร ให้เลขที่บ้านเท่านั้น คนอยู่บ้านหลังนี้มาโดยตลอดย่อมีสิทธิ์เป็นเจ้าของมากกว่าคนอื่นๆ เธอคุยกันให้ดีระว่างเธอกับนารี และมันจะต่อๆไปจนถึงพวกหลานๆ เดี๋ยวจะอ้างว่าเป็นของแม่มึง ของแม่กู พี่หวังว่าพวกเธอคงคุยกันตกลงกันดีแล้วนะ ทั้งสองก็ว่าไม่เป็นไรพี่ พวกเราคุยกันดีแล้ว ฉันก็บอกว่าถ้าอย่างนั้นพี่ก็ไม่ขัดข้าอง เธอก็รื้อปลูกใหม่ได้ มอบให้นายมนตรีเป็นผู้จัดกาบันทึกการตกลงให้ก็แล้วกัน
ต่อจากนั้นบ้านโบราณของแม่ ก็ถูกรื้อออกสร้างขึ้นมาใหม่ เป็นสะไตรฝรั่งปนไทย สูงโปร่งสวยงามมาก บานกระจกใส เปิดรับลมเย็นสบาย หลังคามุกกระเบื้อง เป็นบ้านชั้นเดียว ต่อมาก็พัฒนาเป็นหอลอยขึ้นมาอีก โดยนายมนตรี ทาทำต่อ ลำลองมาจากบ้านฝรั่งเศสและต่อมาอีก นายสุรพลก็มาพัฒนา ชั้นล่างปูกระเบื้อง และปรับปรุงเพิ่มเดิม โดยมีมนตรี มร กีย์ แรพล ร่วมกันทำห้องพิเศษชั้นล่าง ห้องน้ำ ห้องครัว ที่สำหรับดื่มกาแฟ เพื่อไว้ต้อนรับชาวฝรั่งเศสที่มาพัก มีห้องน้ำชักโครก ติดแอร์ห้องนอนทั้งชั้นล่างและชั้นบน ฉันไปบ้านพ่อแม่ก็นึกถึงท่านทั้งสอง เสียดายที่ท่านทั้งสองไม่ทันได้เห็นบ้านหลังใหม่ ที่เป็นผลงานของน้องๆ พี่พวกเราสามัคคีส่งเสริมและอุดหนุนซึ่งกันและกัน พวกลูกๆของคุณพ่อคุณแม่ ของเราไม่เคยทิ้งกันและกัน ไม่เหมือนกับลูกของคนรวยๆที่เราเคยอิจฉาเขาว่า เขามีเงินไม่เคยเช่านาเขาทำ ต่อๆมาเขาต่างคนก็ต่างอยู่กัน ที่จนก็จนมากๆ ที่รวยก็รวยมากๆ กินเลือดกินเนื้อกันเอง คนใกล้ชิดและอุปนิสัย ชีวิตมุมต่างๆ ของพวกน้องๆของฉัน สมภพลูกชายแต่ง คำโคลงไว้ ดังต่อไปนี้  จากด้านซ้ายมือเป็นฉบับจริงของเขา แต่ฉันก็นำมาแก้ไปด้านขาวมือ ตังนี้





สมภพเขียน

สมโภชน์แก้ไขใหม่

สมโภชน์



สมโภชน์โสตแซ่ซ้อง
สรรเสริญ
สมโภชน์โสดแซ่ซ้อง
สรรเสริญ
สมบุรุณนำเจริญ
หย่อมหญ้า
สมบุรษนำเจรญ
สู่หล้า
สมดุจเทพอัญเชิญ
มาสู่เฮาแล
สมดุจเทพอัญเชิญ
มาสู่เฮาแล
สมควรแก่สมโพช
ค่าล้ำนำพา
ดั่งผนพรมรากหญ้า
ค่าจ้ำนำพา
ฉลาด



ฉลาดปราดเปรื่องวิ
ชาเรียน
ฉลาดปราดเปรื่องวิ
ชาเรียน
ฉะฉานงานอ่านเขียน
แคล่วคล่อง
ฉะฉานงานอ่านเขียน
แซ่ซ้อง
เฉลาองค์ สู่สังเวียน
ชีวิตสู้มา
ลาคู่ พากเพียร
ชีวิตสู้มา
ฉลาด เฉลียว ประดุจดั่ง
ดวงแก้วรัตนา
เฉลียวฉลาดเฉลาพี่น้อง
ฉ.พร้อม สาม ฉ
สมพัฒน์



สมพัฒน์ พัฒนาล้ำ
รำพัน
สมพัฒน์ ใจเลิศล้ำ
รำพัน
พัฒน์ใช่พระพายพลัน
ผันผ่าน
พัดวีลูกผัวมัน
โอบบ้าน
พัฒน์จิต พัฒน์วิญญาญ
สายเลือดนางแล
พัดจิตพัดลมปราณ
สายเลือดนางแล
สมแล้วทุกข์พัดผ่าน
เย็นทั่วตัวตน
สมแล้วทุกข์พัดผ่าน
เย็นทั่วครัวตน
ชมภู



ชมพูภูผาแก่รง
ชาตรี
ชมพูภูชี้ฟ้า
ชาตรี
ภูยะเยือกปฐพี
เกล้าแก้ว
ชมใจผ่องเภรี
ดุจแก้ว
ชมพะยอมผ่องไพรี
หลบพาย
ชมผยองผ้องไพรี
หลบพาย
ชมพูทวีปเป็นศรี
ชมพูป้องผองมาร
ชมพูทวีปแคล้ว
ชมภูป้องผองมาร
ไพรยนต์



ไพรยนต์ยลดุจดัง
กามนิต
ไพรยนต์คนซอกช้ำ
กามนิต
ยลแยกโยงชีวิต
จิตมุ่ง
ไพรยนต์สู้ชีวิต
ยากไร้
ยามยากยังยินยก
บ่ยั่นการนา
ไพรยนต์ธึรกิจ
รวยล้ำ
ไพรยนต์ยินก้องหล้า
เทวาเยินยอ
สุขบ่ทันเสพทรัพย์ไซ้
เจ้าโรคร้ายมะเร็งผลาญ
สุรพล



สุรพลพลาล้ำ
กำลัง
สุรพลพละล้ำ
กำลัง
สุรเสียงสิซ้ำยัง
ยิ่งใหญ่
สุรเสียงสิซ้ำยัง
ยิ่งใหญ่
พลหาญพรานกล้า
ล้ำหน้าเลิศแล
พลฯทหารเกณร์สิ้นพลัง
ใจอ่อนซ่อนกาย
สุรพลบ่ เพลี่ยงพล้ำ
กอบกู้สู้งาน
ร้านคนเห็นจึงเด่นได้
ใจสู้กู้งาน
มนตรี



มนตรีดุจตรีเทพ
จักรวาล
มนตรีดุจตรีเทพ
จักรวาล
มนิมนตรากาล
กึกก้อง
มนมึดมนอนทะกาล
ญาติร้อง
มนตรีพลีลมปราณ
เพื่อกางกรณ์เอย
มนตรีพลมปราณ
เพือกางกรณ์เอย
มิตรไมตรี พี่น้อง
ยกย่องมนตรี
มิตรไมตรีพี่น้อง
ยกย่องมนตรี
อรุณ



อรุณดรุณรุ่ง
เรืองศรี
อรุณดรุณรุ่ง
มัวศรี
อรุณดั่งนารี
ผ่องแผ้ว
อรุณดั่งเฆฆี
บดไว้
อุ่นไอเอื้ออารี
แต่ทุกผองมา
อรุณเอื้ออารีย์
ย่มมลูกหลาน-นา
อโนทัย วับแวว
น้ำค้างคราอรุณ
อรุณขาดใบรับไว้
น้ำค้างจางหาย
อุรา



อุราสุดขนิษฐา
ศรีบ้าน
อุราสุดขนิษฐา
ศรีบ้าน
อุระเอกนงคราญ
พี่น้อง
อุระเอกดวงมาล
พี่น้อง
อิ่มเอม อกสราญ
น้องน้อยบุตรี
อิ่มเอมแสนสราญ
น้องน้อยบุตรี
อบอวนโอบรักซ่าน
สุขล้ำฉ่ำอุรา
ฮบอวบโอบรักซ่าน
สุขล้ำฉ่ำอุรา
วิไลวรรณ



วิไลวรรณวรรณะงาม
ตามเล่า
วิไลวรรณวรรณะงาม
ตามเล่า
วับแวมวูบแวววาว
แสงส่อง
วิไลวรรณพรรณวัยสาว
พราวผ่อง
วรรณเจ้าดุจดางดาว
ดาราฟ้าไกล
วรรณเจ้าเปรียบดวงดาว
ดุจการาฟ้าไกล
วิไลสมคำกล่าว
ท้าวเทพอัปสร
วิไลสมคำกล่าวย้อง
พร้อมเทพอัปสร




สมภพแต่งเอาไว้
ในต้านซ้าย


คมเคียวแก้ให้ได้
ความเหมาะสม


สมภพหลานแต่งกล่าว
แต่คำชม


คันไถให้สม
กับความจริง





คมเคียว-คันไถ